ตอนที่ 3 หัวใจและหน้าที่
เมื่อเข้ามาอยู่ภายในห้องทำงานแล้ว
ภานุก็เริ่มต้นต่อว่าสั่งสอนพฤติกรรมของน้องชายเป็นการใหญ่
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจหรือรับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น นาวินทำเพียงนั่งเอนกายไปกับโซฟาตัวยาวแล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาพาดไว้ที่โต๊ะตรงหน้าในท่าผ่อนคลาย
จนคนเป็นพี่รู้สึกเอือมระอาและหยุดพูดไปเอง
“แกจะนั่งให้มันดีๆ
หน่อยได้ไหมนายวิน เกรงใจคุณลุงบ้างสิ” ภานุเอ่ยเตือนคนเป็นน้องเมื่อนายสมภพเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา
“ไม่เป็นไรครับคุณนุ...
เราก็คนกันเองทั้งนั้นไม่ต้องมากพิธีหรอก” คนมาใหม่บอกยิ้มๆ
“ไร้มารยาทขึ้นทุกวัน”
เจ้าของห้องเปรยออกมาเบาๆ อย่างไม่จริงจังนัก
แต่ก็ทำให้คนถูกว่าหันขวับมามองแล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นลุกขึ้นนั่งให้เรียบร้อยทันทีอย่างนึกขัดใจ
“ไม่เหนื่อยบ้างหรือไงครับพี่นุ
ตั้งแต่เจอหน้ากันเนี่ยบ่นผมจนตัวจะเปื่อยอยู่แล้วนะ”
นาวินยอกย้อนพี่ชายด้วยความเบื่อหน่าย
เขาไม่เคยต้องมานั่งฟังใครพูดได้นานขนาดนี้มาก่อนเลย แม้จะแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็เถอะ
“แล้วมันเข้าหัวแกบ้างไหมล่ะ”
คนเป็นพี่สวนกลับอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก นึกโมโหขึ้นมาตงิดๆ ที่อีกฝ่ายกล้าต่อปากต่อคำกับเขา
“ก็...”
ยังไม่ทันที่นาวินจะฟาดฝีปากกับพี่ชายของตัวเอง
คนที่ถูกเรียกมาเพื่อให้คำปรึกษากับสองพี่น้องก็เอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“เอาล่ะๆ
อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลยครับ เรายังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะนะครับคุณภานุ คุณนาวิน”
สองหนุ่มจ้องตาแข่งกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาตอบผู้อาวุโสพร้อมกัน
“ครับคุณลุง” แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักแต่ก็เห็นกับคนเก่าคนแก่ของผู้เป็นพ่อ
ทั้งสองจึงให้ความเคารพเชื่อฟังและค่อนข้างเกรงใจ
“งั้นผมขอเริ่มเลยก็แล้วกัน...
นายวิน แกต้องย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปและแกต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วย”
ภานุพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังชัดเจนเป็นเชิงออกคำสั่งกลายๆ เพราะก่อนหน้านี้เขากับทนายสมภพได้ปรึกษากันแล้ว
และได้จัดการกับเรื่องงานของอีกฝ่ายไปแล้วโดยที่เจ้าตัวยังไม่รู้
“ผม
ไม่ กลับ” นาวินกดเสียงต่ำย้ำคำตอบชัดๆ ทีละคำด้วยความไม่พอใจ เขาไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าจะต้องกลับมาอยู่ที่นี่
ที่ๆ ทำให้เขาเจ็บปวด
คำตอบของนาวินทำให้ภานุถอนหายใจออกมาหนักๆ
อย่างตัดสินใจ ก่อนจะหันมองสบตากับผู้อาวุโสแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“เลิกทำตัวเป็นเด็กๆ
ได้แล้วนะนายวิน และก็กลับมาทำหน้าที่ของแกซะ เพราะฉันเหนื่อยแล้วกับการที่ต้องรับภาระตรงนี้คนเดียว”
คนเป็นพี่ตัดสินใจบอกความรู้สึกจริงๆ
ที่มีให้คนเป็นน้องได้รับรู้ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรได้บ้าง... แต่ก็เปล่าเลย
“พี่ก็ทำได้ดีอยู่แล้วนี่ครับ...
โดยไม่ต้องมีผม” นาวินเน้นเสียงในตอนท้ายเพื่อให้อีกฝ่ายตัดใจที่คิดจะรั้งเขาให้กลับมาซะที
“แกไม่คิดจะช่วยงานฉันเลยใช่ไหมนายวิน”
ภานุต่อว่าน้องชายด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแกมตัดพ้อ
“ผมก็ทำอยู่นี่ไง
อย่าลืมสิครับคุณพี่... ผมเป็นกัปตันให้สายการบินของเราอยู่นะครับ”
มันเป็นเรื่องจริงที่เขาทำงานในตำแหน่งพนักงานขับเครื่องบินให้กับสายการบินของครอบครัว
ซึ่งเขาก็พอใจที่จะเป็นแค่นี้ และไม่เคยคิดจะเป็นอื่นใดที่มากไปกว่านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“แล้วทำไมไม่เลือกอยู่สำนักงานใหญ่ที่ประเทศไทยล่ะ
แกจะไปอยู่ทำไมที่กาตาร์” คนเป็นพี่ย้อนถามพร้อมทั้งมองหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น
นาวินเหลือบมองสองหนุ่มต่างวัยภายในห้องก่อนจะตอบออกไปเรียบๆ
เหมือนเป็นเรื่องปกติที่เขาคิดไว้เพียงเท่านั้น
“เงินดี
ค่าครองชีพสูง ชีวิตอิสระ”
ซึ่งคำตอบนั้นทำให้คนฟังหมดสิ้นความอดทนในทันที
มือแกร่งของภานุที่บีบกำเข้าหากันจนเห็นเส้นเลือดปูดโปนนั้นฟาดลงไปบนโต๊ะทำงานของตัวเองจนเกิดเสียงดังสนั่นด้วยแรงโทสะ
พร้อมทั้งพูดคำสั่งออกมาอีกครั้งอย่างชัดเจน
“แกอิสระมามากพอแล้วนายวิน
ต่อไปนี้ฉันขอสั่งให้แกกลับมาอยู่ที่บ้านของเราและเข้ามาช่วยฉันบริหารงานที่บริษัทซะ”
“ไม่มีทาง!
พี่บังคับผมไม่ได้หรอก ผมน่ะ 25 แล้วนะครับ ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน” นาวินลุกพรวดขึ้นมาทันควันด้วยความโกรธจัดที่จู่ๆ
คนเป็นพี่เกิดจะรักน้องขึ้นมาตอนนี้ ทั้งๆ ที่ปล่อยปะละเลยเขามาตั้งหลายปี
“ก็เพราะว่าแกไม่ใช่เด็กน่ะสิ
ฉันถึงต้องคอยตามจิกแกแบบนี้ไงล่ะ...”
ภานุบอกเสียงกร้าวพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินหนี
“ฮึ! นานแค่ไหนแล้วล่ะที่พี่ให้คนตามเฝ้าดูผมน่ะ”
“เอ่อ...
ลุงว่าใจเย็นๆ กันก่อนนะทั้งสองคน เรื่องสะกดรอยตามน่ะ
เป็นความผิดของลุงเองครับคุณนาวิน ลุงเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง” ทนายสมภพที่นั่งฟังอยู่นานรีบเอ่ยขัดขึ้นมาด้วยนึกเป็นกังวลและไม่สบายใจที่สองพี่น้องทำท่าจะทะเลาะกันอีกแล้ว
“แต่เขาเป็นคนสั่งใช่ไหมครับคุณลุง”
นาวินชี้มือไปที่เจ้าของห้องแล้วหันมาถามผู้อาวุโสที่เขาเคารพไม่ต่างจากบิดา
และนั่นทำให้คนถูกชี้หน้าว่าเป็นคนสั่ง
ก้าวขาออกมาจากโต๊ะทำงานพร้อมด้วยเอกสารบางอย่างในมือ ส่วนทนายสมภพนั้นได้แต่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพราะไม่รู้ว่านาวินจะโกรธแค่ไหนหากรู้ว่าพี่ชายของตัวเองติดตามสืบเสาะดูความประพฤติขนาดนี้
“เอ้า!... แกดูซะ ว่าที่ผ่านมาแกทำตัวแย่ขนาดไหน ทั้งเที่ยวเตร่ กินเหล้า
มั่วผู้หญิง” ภานุโยนกระดาษปึกใหญ่ที่มีทั้งรูปภาพและข้อมูลต่างๆ มากมายให้คนเป็นน้องด้วยแรงโมโหที่พยายามสะกดกลั้นจนถึงขีดสุด
นาวินหยิบเอกสารขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นรูปของตัวเองกับกลุ่มเพื่อนสนิททั้งชายหญิงขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ
“พี่นุ! นี่มันจะมากไปแล้วนะ” นิ้วเรียวบีบกำขยำกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ก่อนจะเขี้ยวลงพื้นอย่างไม่ใยดีด้วยความโกรธจัด
“ฉันจำเป็นต้องควบคุมดูแลความประพฤติของแก
เพื่อไม่ให้แกทำตัวเสื่อมเสียมาถึงวงศ์ตระกูลยังไงล่ะ” คนเป็นพี่ชี้หน้าต่อว่าน้องชายอย่างไม่ลดละ
“ใคร...
ในตระกูลนี้ก็มีแค่พี่กับผมเท่านั้น... ฮึ!
กลัวตัวเองจะเสื่อมเสียล่ะสิไม่ว่า”
นาวินยิ้มเยาะลอยหน้าลอยตายียวนใส่พี่ชายของตัวเองจนอีกฝ่ายถึงกับฉุนขาด
“นาวิน!”
ภานุตรงเข้ากระชากคอเสื้อของนาวินแล้วเตรียมจะส่งกำปั้นลงไปที่ใบหน้าหล่อๆ
นั้นด้วยความโกรธจัดจนถึงขีดสุด ส่วนนาวินก็ตั้งท่าเตรียมจะสวนกลับไปเช่นกัน
ทำให้เหตุการณ์ดูเลวร้ายลงไปทุกทีจนคนที่ถูกเชิญมาให้คำปรึกษาต้องรีบเข้ามาห้ามทัพ
“อย่าครับคุณภานุ...
คุณนาวิน ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ... พวกคุณก็โตๆ
กันแล้วแถมยังมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง จะมาทะเลาะกันให้เกิดความบาดหมางทำไมครับ”
ทนายสมภพพาตัวเองมายืนตรงกลางระหว่างสองหนุ่มเลือดร้อนพร้อมทั้งแกะมือของภานุให้หลุดออกจากคอเสื้อของนาวิน
แล้วจับทั้งสองคนให้แยกย้ายกันไปนั่งยังที่ของตัวเองซึ่งทั้งคู่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี
แม้จะได้ยินเสียงฮึดฮัดออกมาบ้างแต่ก็ถือว่าสถานการณ์เริ่มดูดีขึ้นมาอีกนิด
“คุณนาวินครับ ลุงขอเถอะนะครับ ถ้ายังเห็นว่าลุงเป็นคนหนึ่งที่เคยให้คำปรึกษาและคอยช่วยเหลือในทุกๆ
สิ่งที่คุณต้องการในช่วงที่ผ่านมา ลุงอยากขอร้องให้คุณนาวินกลับมาอยู่บ้านของเราเถอะนะครับ”
ผู้อาวุโสพยายามหว่านล้อมเอาน้ำเย็นเข้าลูบหวังจะให้สองพี่น้องได้กลับมาร่วมสานต่อธุรกิจสายการบินของวงศ์ตระกูลให้ก้าวหน้าและยิ่งใหญ่มากขึ้นในอนาคต...
ไม่ว่าอย่างไรสองแรงก็ยังดีกว่าแรงเดียวเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
เพราะคู่แข่งก็มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
“แต่คุณลุงครับ
ผมขอเวลาอีกหน่อยนะครับ คือ ผม... ผมยังไม่พร้อม” นาวินที่ตอนนี้เริ่มสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้วออกปากอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตัวเองเคารพดั่งบิดาด้วยน้ำเสียงอึกอักไม่ค่อยมั่นคงนัก
ใจหนึ่งก็แสนเจ็บปวดที่ต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวที่ตัวเองรักแต่ไม่มีสิทธิ์ครอบครอง
อีกใจก็คิดถึงความกตัญญูที่ควรมีต่อบิดามารดาผู้ล่วงลับซึ่งตัวเขาเองถือเป็นหนึ่งในสายเลือดที่มีหน้าที่สานต่อธุรกิจของท่านให้คงอยู่และก้าวหน้าต่อไป
“แล้วแกคิดว่าฉันพร้อมหรือไงหะนายวิน...
แกคิดว่าจู่ๆ นักศึกษาปี 3 อย่างฉันต้องขึ้นมาเป็นผู้บริหารสายการบินยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่างกะทันหันแบบนี้...
แกคิดว่าฉันพร้อมงั้นเหรอ!”
ภานุโพล่งความในใจออกมาด้วยความรู้สึกอัดอั้นและเจ็บปวดไม่แพ้กัน
เมื่อได้ยินความในใจจากปากของคนเป็นพี่แล้ว
ทำให้นาวินถึงกับนิ่งงันไปชั่วขณะ จริงสินะ เขามัวแต่ห่วงความรู้สึกของตัวเองจนลืมคิดถึงคนรอบข้าง
และที่สำคัญเขายังละทิ้งหน้าที่ของตัวเองแล้วโยนภาระทั้งหมดให้กับพี่ชายเพียงคนเดียวอีกด้วย... ‘มันถึงเวลาของเขาแล้วจริงๆ
นั่นแหละ... หัวใจและหน้าที่ต่อจากนี้ไปมันคือความจริงที่เขาต้องเผชิญ’
“ก็ได้ครับ... ผมตกลงจะกลับมาช่วยพี่นุบริหารงานที่สำนักงานใหญ่”
นาวินตัดสินใจบอกความต้องการของตัวเองให้คนในห้องได้รับรู้อย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง
ทำให้คนฟังหันมองสบตากันด้วยความรู้สึกโล่งใจ
“ดี...
งั้นแกก็ควรย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วย และอีกสามวันฉันจะพาแกเข้าบริษัท”
ภานุที่รู้สึกพอใจกับคำตอบของคนเป็นน้อง
แต่ยังไม่วายออกคำสั่งในตอนท้ายซึ่งแน่นอนว่ามันขัดกับความต้องการของนาวินอยู่แล้ว
“ผมจะไปอยู่ที่คอนโดของผม
และเราจะเจอกันที่บริษัทในอีกสามวันข้างหน้า... เท่านั้น”
“เอ๊ะ! นายวิน...”
เจ้าของห้องฮึดฮัดขึ้นมาทันทีเมื่อคนที่เขาสั่งไม่ยอมทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ
จนเกือบจะมีปากเสียงกันอีกครั้ง โชคดีที่ทนายสมภพแย้งขึ้นมาก่อน
“คุณภานุครับ
ลุงว่าอย่าเพิ่งบีบบังคับกันนักเลย อย่างน้อยตอนนี้คุณนาวินก็ยอมกลับมาช่วยงานที่บริษัทแล้วนะครับ”
คำบอกของผู้อาวุโสทำให้ภานุปล่อยลมหายใจออกมาหนักๆ
แล้วใช้ความคิดเพียงครู่ ก่อนจะยอมเป็นฝ่ายยุติคำสั่งนั้นเอง
“ครับคุณลุง...
งั้นก็ตามใจแกเถอะนายวิน”
“เอาเป็นว่าลุงจะทำหนังสือเชิญประชุมคณะกรรมการเรื่องของคุณนาวินพรุ่งนี้เลยก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสรีบสรุปความเพราะกลัวว่าสองพี่น้องจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก
“ขอบคุณครับ...
อ่อ แล้วนี่เอกสารขอเข้ารับการฝึกงานของน้องป่านกับเพื่อนๆ ของเธอครับ
คุณลุงช่วยจัดการต่อที... ให้น้องป่านมาเป็นผู้ช่วยเลขาของผม
ส่วนเพื่อนของเธอก็จัดสรรไปตามแผนกอื่นๆ ได้เลย ผมไม่ซีเรียส” ภานุพูดพร้อมทั้งหยิบซองเอกสารบนโต๊ะยื่นให้ทนายสมภพตรวจสอบความถูกต้องเพื่อจะได้นำไปประสานงานต่อได้ทันที
สิ่งที่ภานุพูดทำให้นาวินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ
รู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าผู้หญิงที่เขารักจะมาฝึกงานกับพี่ชายของเขา...
นั่นแสดงว่าเขาจะต้องได้พบกับเธอทุกวัน แล้วเขาจะทำใจให้เกลียดเธอได้อย่างไรกัน...
สายป่าน เธอจะตามหลอกหลอนฉันไปถึงไหนกันนะ
นาวินคิดในใจอย่างว้าวุ่นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วตรงดิ่งไปที่ประตูห้องทันทีอย่างไม่เกรงใจใคร
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นผมขอตัวก่อนก็แล้วกัน”
“เชิญ...”
เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาตพร้อมทั้งส่ายหน้าไปมาอย่างนึกเอือมระอาในความไร้มารยาทและดื้อรั้นของน้องชาย
นาวินก้าวเท้าออกมาจากห้องทำงานของพี่ชายด้วยอารมณ์ที่กำลังสับสนวุ่นวายใจ
ก่อนจะสาวเท้าต่อไปยังห้องครัวเพื่อจะบอกลานมอิ่มก่อนกลับคอนโด แต่ยังไม่ทันจะถึงจุดหมาย
หญิงสาวที่อยู่ในห้วงความคิดและรบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลาก็โผล่พรวดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อุ๊ย!... พี่วิน” สายป่านสะดุ้งเล็กน้อย เพราะเธอเกือบจะเดินไปชนกับร่างสูงใหญ่ของนาวินที่สวนออกมาพอดี
ทั้งสองจึงชะงักแล้วยืนประจันหน้ากันด้วยความห่างเพียงก้าวเดียวอย่างน่าหวาดเสียว
“เป็นอะไร”
ชายหนุ่มถามเสียงเข้มแล้วจ้องเธอเขม็งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
แม้ตัวเองจะตกใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่เกือบจะชนกับเธอ
“ป่านตกใจน่ะค่ะ”
หญิงสาวตอบเสียงสั่นๆ แล้วก้มหน้าลงเพื่อหลบแววตาคมดุของเขาที่จ้องเธอราวกับจะแผดเผาให้เป็นจุณ
“รู้แล้วว่าตกใจ... กำลังจะไปไหนล่ะ” นาวินยังคงน้ำเสียงให้เข้มจัดและมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย
เพื่อซ่อนความหวั่นไหวที่จู่ๆ ก็ตีตื้นขึ้นมาอย่างประหลาด ยิ่งได้มองใกล้ๆ เธอยิ่งสวยสะกดทุกลมหายใจของเขาจริงๆ
สายป่าน เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำใจร้ายกับเธอได้นานแค่ไหน
“ป่านกำลังจะไปถามพี่นุน่ะค่ะว่าให้ตั้งโต๊ะอาหารเลยหรือเปล่า”
“อีกสักพักก็ได้
เขายังคุยกันอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเรียบๆ พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แม้จะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมานิดๆ
ที่ได้ยินว่าหญิงสาวจะไปหาพี่ชายของเขา
ก่อนจะก็รีบสะบัดความคิดนั้นออกไปโดยเร็วพร้อมทั้งขยับตัวเตรียมจะเดินหนีไปจากตรงนี้
แต่คนตัวเล็กที่รู้ทันก็เรียกเขาเอาไว้เสียก่อน
“แล้วพี่วินกำลังจะไปไหนคะ”
“เรื่องของฉัน...”
นาวินสวนกลับทันควัน แล้วตัดสินใจพูดในสิ่งที่เป็นการทำร้ายความรู้สึกของเธอมากที่สุดออกไป
อย่างน้อยเธอจะได้ไม่ต้องมาทำดีกับเขาอีก และเขาก็ไม่อยากรักเธอมากไปกว่านี้อีกแล้วด้วย
เพราะสุดท้ายคนที่ถูกทอดทิ้งให้เจ็บปวดก็คือเขา
“อ่อ แล้วต่อไปห้ามเธอเรียกฉันว่าพี่อีก
เพราะฉันไม่เคยมีน้อง โดยเฉพาะกับเธอ... ฉันไม่เคยคิด!”
มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
สายป่าน เพราะเธอคือคนที่ฉันคิดในแบบคนรักไม่ใช่น้องสาว
ชายหนุ่มพร่ำบอกคำสารภาพในใจอย่างเจ็บปวด
ร่างบางของสายป่านแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่เธอแอบรัก
หัวใจดวงน้อยรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนมีใครเอามีดมากรีดจนยับเยินเป็นบาดแผลฉกรรจ์
“ค่ะ...
คุณวิน” สายป่านรับคำเบาๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ พยายามสกัดกั้นน้ำตาที่จวนเจียนจะไหลอย่างสุดกำลัง
อาการเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ของหญิงสาว
ทำให้หัวใจดวงแกร่งของนาวินอ่อนยวบจนเกือบจะเผลอดึงเธอเข้ามากอดปลอบ แต่ก็ต้องตัดใจแล้วรีบหันหลังให้เธอ
“ดี...
งั้นฝากบอกนมอิ่มด้วยก็แล้วกันว่าฉันจะกลับไปค้างที่คอนโด ส่วนเรื่องอื่นๆ
ที่เกี่ยวกับฉัน เดี๋ยวพี่นุก็คงรายงานให้รู้เอง” พูดจบ ร่างสูงก็ขยับเท้าเตรียมจะก้าวออกไปข้างหน้า
แต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อมีมือเล็กๆ ของใครบางคนมาฉุดรั้งเอาไว้
“เอ่อ
พี่... อะ คุณวินคะ”
“มีอะไร”
ร่างสูงแค่เพียงปรายตามองแล้วสะบัดแขนเบาๆ
เพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมของเธอ แม้ภายในใจจะแสนเสียดายสัมผัสนุ่มๆ จากอุ้งมือเล็กๆ
ที่เขาแสนคิดถึงและโหยหานั้นเหลือเกิน
“ยังโกรธป่านอยู่เหรอคะ”
สายป่านตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจเธอมานาน เพราะตั้งแต่เขาจากไป เธอก็เหมือนจมอยู่กับคำถามนี้มาตลอด
และไม่มีใครตอบเธอได้นอกจากเขา
“เปล่า
ฉันไม่ได้โกรธเธอ” เสียงเรียบพูดออกมาทั้งที่ยังหันหลังให้กับเธอ
ทำให้หญิงสาวไม่ได้เห็นดวงตาคมเข้มที่ฉายแววหม่นหมองและเจ็บปวดของเขา เธอไม่มีวันรู้หรอกว่าเขาทรมานใจมากแค่ไหนเมื่อต้องนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น
“แล้วทำไม...”
คนถามเอ่ยปากได้เพียงเท่านั้น คนฟังก็ขัดขึ้นมาทันทีเหมือนไม่ต้องการให้เธอพูดต่อ
“เธอเป็นผู้หญิงที่ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย...
เธอเองก็น่าจะรู้นะว่าเพราะอะไร” นาวินบอกพร้อมทั้งขยับเท้าออกมาอีกก้าวเพื่อยืนยันคำพูด
และนั่นทำให้คนตัวเล็กตัดสินใจพุ่งพรวดเข้าไปยืนตรงหน้าเขาด้วยความมึนงง
“ป่านไม่รู้ค่ะ
คุณวินกำลังพูดถึงเรื่องอะไรคะป่านไม่เข้าใจ”
ดวงตาหวานเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาที่จวนเจียนจะไหล
หากเจ้าตัวก็ยังทำใจกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขาเพื่อรอฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ
“ช่างเถอะ
เอาเป็นว่า... สำหรับเรื่องวันนั้น ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ทำให้เธอเจ็บตัว” นาวินถอนหายใจแรงๆ
ด้วยความหนักใจ เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่
ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเป็นพูดในสิ่งที่เขาควรพูดกับเธอตั้งแต่วันนั้นออกมา
เพื่อจะได้ไม่ต้องค้างคาใจกับคำสั่งของบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว
พร้อมกับทิ้งท้ายด้วยประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งอย่างแผ่วเบา
“อภัยให้ฉันด้วยนะ”
จากนั้นร่างสูงก็สาวเท้าออกไปทันทีโดยไม่ได้หันหลังกลับมามองหญิงสาวที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้มนวลไม่ขาดสาย
‘แสดงว่าเขาไม่ได้ลืมเธอ และก็ไม่ได้ลืมเรื่องวันนั้นด้วย แต่ทำไมเขาต้องทำตัวห่างเหินกับเธอขนาดนี้ล่ะ...
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
“เดี๋ยวค่ะคุณวิน
ป่านไม่เข้าใจค่ะ พี่วิน ฮือ... ฮือ... พี่วิน...” คนตัวเล็กร่ำไห้ร้องเรียกหาเขาอย่างเจ็บปวดและสับสน
ก่อนจะออกวิ่งตามชายหนุ่มที่เพิ่งเดินจากเธอไปเมื่อครู่ แต่ก็ไม่ทัน...
สายป่านยืนมองรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ที่เคลื่อนตัวออกไปจากคฤหาสน์ด้วยความเร็วสูงอย่างนึกใจหาย
และอดเป็นห่วงในความปลอดภัยของเขาไม่ได้ ก่อนที่ร่างบางจะค่อยๆ
ทรุดลงกับพื้นแล้วนั่งลงอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง พร้อมกับคำพูดทุกๆ
ประโยคของเขาที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของเธอจนอื้ออึงไปหมด ‘พี่วิน... ป่านไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมต้องทำแบบนี้กับป่านด้วย’
นาวินเหลือบมองที่กระจกด้านข้างเมื่อเห็นว่าหญิงสาวร่างบางทรุดนั่งลงกับพื้นพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดหน้าเหมือนว่าเธอกำลังร้องไห้อย่างหนัก
ทำให้หัวใจดวงแกร่งที่ฝืนทนเข้มแข็งนั้นอ่อนยวบโดยฉับพลัน ก่อนจะก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่แสนเจ็บปวดทรมานเหมือนมีใครเอามีดมากรีดหัวใจของเขาออกเป็นเสี่ยงๆ
‘น้องป่าน... พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ... อภัยให้พี่ด้วยนะ’
โดยทั้งสองหารู้ไม่ว่าการกระทำและคำพูดทั้งหมดที่เพิ่งผ่านไปนั้น
มีใครอีกคนได้ยินและยืนมองอยู่ด้วยความรู้สึกที่ร้าวรานไม่แพ้กัน ‘สองคนนี้มีความรู้สึกพิเศษให้แก่กันจริงๆ สินะ นายวิน... น้องป่าน...
แต่อย่าหวังเลยว่าจะเอาวันดีๆ เหล่านั้นกลับคืนมาได้ เพราะเธอต้องเป็นของฉัน...
สายป่าน เป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น’
ภานุประกาศก้องอยู่ในใจ
ก่อนจะขยับตัวออกมาจากที่ซ่อนซึ่งเขาหลบเข้าไปอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งหลังจากที่เขาปรึกษาเรื่องงานต่างๆ
กับทนายสมภพแล้ว เขาก็ขอตัวออกมาจากห้องทำงานเพื่อจะไปบอกเด็กๆ
สาวใช้ให้ตั้งโต๊ะอาหารเย็น แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้มารับฟังบทสนทนาของคนทั้งคู่ที่กำลังปรับความเข้าใจกัน
และดูเหมือนว่าคนที่ผิดหวังจะเป็นหญิงสาวที่เขารักซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับเขาไม่น้อยทีเดียว...
‘ขอบใจนะไอ้น้องชายที่หลีกทางให้ ยังไงก็ช่วยอยู่ห่างๆ
แบบนี้ให้ตลอดก็แล้วกัน’
นาวินกลับมาที่คอนโดของตัวเองในเวลาใกล้ค่ำ
ร่างสูงซวนเซทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้างอย่างไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ภายในใจนั้นมีแต่เรื่องราวมากมายให้คิดจนสับสนวุ่นวายไปหมด
เขาอยากพักผ่อนและให้เวลากับตัวเองมากกว่านี้เพื่อเติมพลังความเข้มแข็งที่สูญเสียไปไม่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวในดวงใจ
จู่ๆ
เสียงโทรศัพท์เครื่องจิ๋วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงก็กรีดร้องขึ้นมา
ทำให้เจ้าของเพิ่งรู้ตัวว่าได้ลืมมันเอาไว้ในห้องตั้งแต่เมื่อตอนเย็นที่เขาออกไป จากนั้นมือแกร่งก็เอื้อมคว้ามันขึ้นมาดูอย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนรักที่เขากำลังคิดถึงอยู่จึงรีบกดรับทันที
‘ว่าไงคริส’ เสียงเข้มกรอกลงไปเรียบๆ เหมือนเคย...
คริสโตเฟอร์กัปตันหนุ่มหล่ออารมณ์ดีชาวอังกฤษที่เขาสนิทด้วยเพียงคนเดียวตั้งแต่เข้าเรียนจนกระทั่งประสบความสำเร็จมาด้วยกัน
ทั้งสองจะขึ้นบินคู่กันเสมอจนเรียกได้ว่าเป็นคู่หูที่เข้าใจและรู้ใจกันมากที่สุดในทุกๆ
เรื่องด้วย
‘จะว่ายังไงล่ะครับท่านรองประธาน แหม่ๆ พอได้เลื่อนตำแหน่งเนี่ย
โทรศัพท์ไม่ว่างมารับเลยนะ’ ปลายสายยอกย้อนแกมประชดประชันเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี
‘เออขอโทษด้วย พอดีฉันออกไปข้างนอกแล้วลืมหยิบโทรศัพท์ไปน่ะ แต่เอ๊ะ! เมื่อกี้แกเรียกฉันว่าอะไรนะ’ นาวินเอ่ยปากยิ้มๆ
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมึนงงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประโยคที่เพื่อนรักพูดกับเขาในตอนแรก
‘ก็ท่านรองประธานไง... อย่าทำเป็นปกปิดเลยน่า
ตอนนี้เขารู้กันทั้งประเทศแล้วมั้ง’
คริสโตเฟอร์พูดกลั้วหัวเราะเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะปิดบังความจริงกับเขา
‘เห้ย!
อะไรนะคริส
แกว่าไงนะ’ คนถูกยัดเยียดตำแหน่งให้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนักรีบถามกลับทันควัน
พร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อตั้งสติฟังในสิ่งที่ได้ยินอีกครั้งอย่างตั้งใจ
‘อ้าว นี่แกยังไม่รู้ตัวเหรอ’
คนปลายสายเริ่มมีน้ำเสียงงุนงงขึ้นมานิดๆ
‘ฉันเพิ่งรู้เมื่อเย็น แล้วแกล่ะรู้ได้ยังไง’ นาวินย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ...
นี่เขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า
‘จะไม่รู้ได้ไงล่ะ... พอแกบินลัดฟ้าไปปุ๊บ เช้ามาก็มีหนังสือประกาศมาแปะที่หน้าสำนักงานปั๊บ’ คนบอกพูดเสียงดังชัดเจนแต่แฝงไปด้วยอารมณ์ยียวนเล็กน้อยตามความเคยชิน
‘นี่แสดงว่าพี่นุต้องวางแผนเอาไว้ก่อนแล้วแน่ๆ’
นาวินเปรยกับตัวเองเบาๆ แต่คนฟังก็ได้ยิน
‘เห้ย... วิน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ แกช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม’ คริสโตเฟอร์ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น
เพราะความที่เป็นเพื่อนรักกันมานานทำให้เขาพอจะรู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
และต้องเผชิญกับอะไรบ้าง
นาวินตัดสินใจเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่เขากลับมาที่นี่จนกระทั่งตอนนี้
ที่จู่ๆ มนุษย์เงินเดือนอย่างเขาก็ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองประธานบริหารของสายการบินยักษ์ใหญ่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
และถูกมัดมือชกอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย แม้จะเป็นธุรกิจของวงศ์ตระกูลก็เถอะ
แต่เขาไม่เคยคิดเลยสักนิดว่ามันจะมีวันนี้ ไหนจะเรื่องของหัวใจที่ยังไม่เข้มแข็งพอนั่นอีก
ทุกอย่างมันพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน
‘คุณภานุนี่ก็เด็ดขาดเอาเรื่องเหมือนกันนะ... แต่เอาน่า วิน
มันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ แกน่ะควรกลับไปทำหน้าที่ของแกได้แล้ว’
คริสโตเฟอร์เอ่ยให้กำลังใจกับเพื่อนรักหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างจนหมดแล้ว
และเขาก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ
นาวินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เขาทำเพียงถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างคนคิดหนักทำให้คนฟังรู้สึกเป็นกังวลไปด้วย
‘วิน... แล้วแกจะเอายังไงต่อไปวะ’
‘ฉันจะเอาแกมาอยู่ที่นี่ด้วย’ เสียงเข้มจัดพูดออกไปเรียบๆ
บ่งบอกว่าเขาคิดจริงจังและไม่ได้ล้อเล่น ทำให้คนปลายสายถึงกับนิ่งงันไปนานกว่าจะตอบออกมาอย่างตัดสินใจ
แต่ไม่วายประชดประชันเล็กน้อยตามแบบฉบับของตัวเอง
‘เอางั้นก็ได้
ตอนนี้แกมีสิทธิ์จะโยกย้ายใครไปไหนก็ได้แล้วนี่หว่า ฉันจะขัดอะไรได้ล่ะ’
‘นี่แกประชดฉันเหรอ’ นาวินย้อนถามเสียงเขียว นึกอยากจะฟาดหมัดหนักๆ
ให้อีกฝ่ายลงไปนอนเล่นกับพื้นเสียจริง ประชดประชัดเก่งนัก
‘แหม่
นิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นเข้มไปได้ ฮึฮึ... เออนี่ แต่ฉันว่านะต้องมีใครบางคนแจ้นตามแกไปอีกคนแน่ๆ’
คำพูดของเพื่อนรักทำให้เขานึกถึงแอร์โฮสเตสสาวลูกครึ่งไทยเกาหลีที่เป็นคู่ควงคนล่าสุดขึ้นมาทันที
จริงสิ... เขาเกือบลืมเธอไปเสียสนิท
‘นีล่า’
‘ใช่... วันนี้หล่อนวีนแตกแทบจะแหกอกฉันตั้งแต่เช้าแล้ว
พอรู้ว่าแกจะไม่กลับมาอีกเท่านั้นแหละ ทุกอย่างตรงหน้านี่แทบจะราบเป็นหน้ากลองเชียวหละแกเอ้ย’
คนประสบเหตุรีบฟ้องอย่างนึกหวาดกลัวและสยดสยองจนได้ยินเสียงหัวเราะขบขันของคนฟัง
‘ฮึฮึ แกก็พูดเกินไป’ นาวินบอกอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก
คู่ควงก็คือคู่ควงคบกันที่ความพอใจไม่ใช่คู่รักสักหน่อย และเขาก็ไม่เคยคิดจะจริงจังกับใครอยู่แล้ว
‘เออ ทำเป็นหัวเราะดีไปเหอะ ฉันเตือนแกไว้ก่อนนะ ยัยนีลาอะไรเนี่ยทั้งรักแรงเกลียดแรงขี้หึงสุดๆ
ด้วย แกเตรียมดูแลเด็กของแกให้ดีๆ เหอะ’ คริสโตเฟอร์เอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
คราวนี้เพื่อนรักของเขาต้องเจอศึกหนักแน่ๆ
เพราะดูท่าคู่ควงคนนี้จะจับไม่ปล่อยเสียด้วย
‘คงไม่ขนาดนั้นมั้ง’
คนถูกเตือนพูดปลอบใจตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เริ่มเป็นกังวลนิดๆ
เมื่อนึกตามคำพูดของเพื่อนรัก นี่แสดงว่าเธอคงติดเวรขึ้นบินแน่ๆ
ไม่อย่างนั้นคงโทรจิกเขาจนสายไหม้ไปแล้ว
‘แล้วนี่จะให้ฉันไปเมืองไทยเมื่อไรล่ะจะได้เตรียมตัว’
‘ตอนนี้เลย’ นาวินออกคำสั่งทันทีอย่างไม่ต้องคิดนาน
จนคนฟังร้องลั่นด้วยความตกใจ
‘ห๊า! ไอ้บ้า แกจะไม่ให้ฉันเคลียร์งานสะสางกับสาวๆ
ที่นี่เลยเหรอไงวะ’
‘แกเป็นกัปตัน มีงานอะไรให้ต้องเคลียร์ไม่ทราบ ส่วนเรื่องสาวๆ น่ะ
แกหาเอาใหม่ได้ฉันมั่นใจ’ คนออกคำสั่งยอกย้อนเอ่ยประชดประชันในความเจ้าชู้ของอีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ
‘เออ ทีอย่างนี้ล่ะรู้ดีจังนะ ก็ได้ๆ
ฉันจะหาเที่ยวบินที่เร็วที่สุดไปก็แล้วกัน’ น้ำเสียงของคนรับคำสั่งฟังดูแข็งๆ
เหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก
‘ได้... แล้วเจอกัน’
พูดจบนาวินก็กดวางสายไปทันทีด้วยรอยยิ้มขำๆ เขารู้นิสัยของเพื่อนรักดี
แม้จะปากจัดมากคารมไปหน่อยแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้คิดมากหรือโกรธเคืองอะไรเขาจริงๆ หรอก
เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ใจกันดีอยู่แล้ว
จากนั้นนิ้วเรียวก็กดเลื่อนหน้าจอไปมาเพื่อดูข้อความและสายที่ไม่ได้รับ
ปรากฏว่าเป็นสายของนิลณีย์หรือนีล่า คู่ควงคนล่าสุดของเขาที่โทรเข้ามากว่าสิบสาย
ป่านนี้เธอคงกระวนกระวายใจน่าดู แต่เขายังไม่พร้อมที่จะอธิบายหรือพูดคุยกับใครตอนนี้
เขาจึงกดปิดเครื่องก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างแล้วปล่อยความคิดให้ล่องลอยเข้าสู่ห้วงนิทราที่แสนอ่อนล้าทั้งกายใจไปโดยไม่รู้ตัว