Wednesday, July 18, 2018

เสน่หาซ้อนซ่อนรักร้าย ตอนที่ 1 อดีตที่ไม่อาจหวนคืน

ตอนที่ 1 อดีตที่ไม่อาจหวนคืน



ณ คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โมเดิลที่มั่งคั่งทันสมัยและโอ่อ่าสมฐานะตระกูลดังเจ้าของธุรกิจสายการบินระดับชาติที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วทั้งเอเชีย

            ภายในห้องโถงรับแขกที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราทันสมัยนั้น ชายหนุ่มผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขของบ้านกำลังนั่งจิบกาแฟสำหรับเช้าวันหยุดอยู่ที่โซฟาตัวยาวพร้อมกับแท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุดในมือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว

ภานุ สีหราชเมธี ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงสง่าและงดงามราวเทพบุตร วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนและกางเกงแสลคเนื้อดีสีขาวสะอาดตา เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบิดาและมารดาอันเป็นที่รักยิ่ง โดยเขากับแม่นมพร้อมด้วยสาวน้อยที่เขาหลงรักตั้งแต่เยาว์วัยนั้นจะไปเยี่ยมท่านที่สุสานในแถบชานเมืองด้วยกันทุกปี

“พวกเราพร้อมแล้วค่ะพี่นุ”
เสียงหวานคุ้นหูที่เอ่ยเรียกชายหนุ่มนั้น ทำให้มือแกร่งที่กำลังสาละวนกับการสัมผัสเลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตไปมาต้องหยุดชะงัก และหันไปมองด้วยรอยยิ้มชอบใจจนปิดไม่มิด

“ครับ... งั้นเราไปกันเลย” ภานุตอบพร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง โดยที่ดวงตาคมเข้มนั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าหวานของคนเรียกเลยแม้แต่น้อย

สายป่าน จันทราทิพย์ เป็นชื่อของเธอ สาวน้อยน่ารักที่บิดาและมารดาของเขารับอุปการะเอาไว้ตั้งแต่ตอนเล็กๆ เธอเป็นหลานของนมอิ่มที่กำพร้าพ่อแม่เหมือนกับเขา แต่ต่างกันตรงที่เธอถูกทอดทิ้งตั้งแต่อายุยังน้อยนัก นมอิ่มจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูเอาไว้เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว

เขาหลงรักเธอตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กๆ ซึ่งตอนนั้นเขาและเธอรวมถึงน้องชายของเขาเคยวิ่งเล่นด้วยกันในบ้านหลังนี้ พวกเราสามคนมีความสนิทสนมกันมากเสมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา นั่นอาจเป็นเพราะการเล่นด้วยกันตามประสาเด็กๆ จึงทำให้พวกเราสนิทกันได้เร็วขึ้น และเขาก็หลงรักเธอมากขึ้นทุกวันเช่นกัน

“พี่นุจ้องหน้าป่านทำไมคะ” สายป่านที่กำลังประคองนมอิ่มซึ่งเป็นยายของเธอนั้น เอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกสงสัยในท่าทีของชายหนุ่มที่เธอนับถือเสมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ

“นั่นสิคะคุณนุ นมเห็นจ้องอยู่ตั้งนานแล้วไม่ขยับไปไหนสักที” นมอิ่มที่ยืนดูอยู่ด้วยเอ่ยสัมทับอีกแรง ทำไมนางจะไม่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มนั้นคิดอย่างไรกับหลานสาว เรื่องนี้ทั้งนางและคุณพิมพ์ผกามารดาของชายหนุ่มต่างก็รู้กันดี แต่เพราะตอนนั้นทั้งสองคนยังเป็นเด็กพวกผู้ใหญ่จึงได้แต่รอเวลาแล้วคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น

“เปล่าครับนม ผมแค่รู้สึกว่าวันนี้สาวน้อยของผมสวยกว่าทุกวันน่ะครับ ก็เลยมองเพลินไปหน่อย” ภานุแก้ตัวยิ้มๆ แอบส่งสายตากรุ้มกริ่มเล็กน้อยไปให้หญิงสาวที่เขาพูดถึงก่อนจะขยับเท้าออกมาจากบริเวณโซฟารับแขกที่เขานั่งอยู่

“พี่นุน่ะ ล้อป่านเล่นอีกแล้วนะคะ” สาวน้อยที่ชายหนุ่มพูดถึงบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ เพราะรู้สึกว่าระยะนี้เขามักจะพูดคุยกับเธอในทำนองแปลกๆ บ่อยขึ้นจนเธออึดอัดและวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเขา

“พี่พูดจริงๆ ครับ... ปะ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวสายแล้วจะร้อน” ร่างสูงยืนยันคำพูดพร้อมทั้งก้าวเข้ามาแย่งตะกร้าที่มีอาหารคาวหวานและดอกไม้สดจากมือของหญิงสาวมาถือไว้เอง จากนั้นก็ขยับมาประคองนมอิ่มที่แขนอีกข้าง

“ค่ะ” สายป่านรับคำเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาแทนคำขอบคุณ

ทั้งสามคนหันมองสบตากันด้วยรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นห่วงใยที่ต่างฝ่ายต่างก็มีให้แก่กันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนร่วมกันแบ่งปันและช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายของกันและกันให้ครอบครัวของเรานั้นสมบูรณ์พูนสุขเหมือนดั่งแต่ก่อนที่เคยเป็นมา... แต่ใครคนหนึ่งในตระกูลสีหราชเมธีนั้นได้ละทิ้งต่อหน้าที่ และเขาก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที

บรรยากาศสุสานที่เงียบสงบท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีหลุมฝังศพเรียงรายสลับกันเป็นรูปเนินเขาน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณอันกว้างไกลจนสุดสายตา นานๆ ทีจะมีผู้คนเข้ามากราบไหว้บรรพบุรุษของตัวเองเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่บ่อยนัก ทำให้ที่นี่ดูไม่น่ากลัวแต่ก็ไม่ได้ครึกครื้นจนเกินไป

ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินเขาด้านหลังของสุสานนั้น ปรากฎร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดดำพร้อมทั้งสวมแว่นตากันแดด ยืนกอดอกในท่าผ่อนคลายแล้วมองลงมาที่สุสานเบื้องล่าง ณ จุดใดจุดหนึ่งเหมือนกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ

นาวิน สีหราชเมธี นักบินหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชาย มีรูปร่างสูงใหญ่สมส่วนและแข็งแกร่งดูน่าเกรงขาม ประกอบกับบุคลิกที่ทะมัดทะแมง ปราดเปรียว และแฝงไปด้วยความดุดันนั้น ทำให้เขาเป็นที่สะดุดตาของใครหลายคนที่ได้พบเห็น รวมถึงยังเป็นหนุ่มฮอตที่สาวๆ ต่างก็หมายปองอยากได้เขามาครอบครองอีกด้วย เขามาที่นี่ในวันนี้ของทุกปีเพื่อระลึกถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับ และทุกครั้งเขาจะมาเพียงคนเดียวโดยที่ไม่มีใครรู้หรืออาจจะเป็นเธอที่รู้... แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ

ดวงตาคมเข้มภายใต้กรอบแว่นกันแดดที่ดำสนิทกำลังจ้องมองกลุ่มคนเบื้องล่างที่หน้าหลุมศพขนาดใหญ่ ผู้ชายคนนั้นเขาจำได้ดีนั่นคือพี่ชายเพียงคนเดียวของเขา และหญิงสูงวัยที่มาด้วยนั้นก็เป็นแม่นมที่เลี้ยงเขากับพี่ชายมาตั้งแต่เกิด ส่วนสาวสวยคนที่คอยเคียงข้างประคับประคองนมอิ่มไม่ห่างนั้น เขาก็จดจำเธอได้ดีเช่นกันเพราะเขาใช้พื้นที่ในหัวใจทั้งดวงเก็บเธอไว้เพียงผู้เดียว ‘สายป่าน’

ผู้หญิงที่เขาคิดถึงมาตลอดและนับวันความคิดถึงก็เพิ่มมากขึ้นจนเขาแทบจะอดทนเก็บไว้ไม่อยู่ เธอเป็นคนที่เขาเฝ้ารอเพียงแค่ขอให้ได้เห็นหน้าเท่านั้น หญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยงดงามราวกับภาพวาดของศิลปินเอก ผิวพรรณนวลเนียนผุดผ่องดุจแพรไหม รูปร่างบอบบางสะโอดสะองน่าทะนุถนอม ดวงตากลมโตดูสดใสมักจะเป็นประกายวิบวับทุกครั้งยามที่เธอพบเจอสิ่งถูกใจ จมูกเล็กๆ ที่โด่งเชิดนั้นบ่งบอกได้ว่าเธอคงจะดื้อรั้นไม่น้อย ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปเป็นสีชมพูระเรื่อน่าสัมผัส ทุกสิ่งที่รวมเป็นเธอนั้นล้วนน่าหลงใหลจนเขาแทบคลั่งทุกครั้งที่ได้มอง... ‘แต่เขาคงไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเธออีกแล้ว’ ชายหนุ่มคิดพร้อมทั้งปล่อยลมหายใจออกมาหนักๆ ด้วยความรู้สึกท้อแท้ในใจจนไม่อาจทนยืนมองภาพตรงนั้นได้นาน

บริเวณเนินเขาด้านล่าง ภานุยืนสำรวจพื้นที่โดยรอบของสุสานซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจีที่อยู่เบื้องหน้า จู่ๆ หัวใจดวงแกร่งก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อเห็นว่าอาณาเขตของสุสานนั้นกว้างไกลออกไปทุกที นั่นแสดงว่าในแต่ละปีจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

ชายหนุ่มยืนทอดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่หญิงสาวในดวงใจซึ่งเธอก็กำลังทำคล้ายๆ กับเขา แต่ต่างกันตรงที่เขามองบรรยากาศโดยรอบแต่เธอกลับมองเฉพาะเจาะจงอยู่ที่จุดเดียวจนน่าสงสัย

“มองอะไรอยู่หรือครับน้องป่าน” ภานุเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนเธอกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างบนเนินเขาซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่

“เปล่าค่ะ... ป่านคงตาฝาด” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนข้างๆ เรียกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆ ให้เขาแล้วเอ่ยปฏิเสธเพื่อตัดปัญหาที่ค้างคาใจออกไป

“หืม ยังไงครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด

“เอ่อ... ป่านเห็นเหมือนมีคนยืนมองพวกเราอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่นน่ะค่ะ” สายป่านตัดสินใจบอกพลางชี้มือไปที่เนินเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ให้ชายหนุ่มได้ดู

“อืม ก็ไม่เห็นมีใครนี่ครับ ให้พี่พาขึ้นไปดูไหมจะได้แน่ใจ” ภานุมองตามที่หญิงสาวชี้ แต่ก็ไม่พบใครหรือสิ่งใดที่ผิดปกติ

เขาจึงเอ่ยชวนเผื่อว่าเธอจะอยากขึ้นไปดูใกล้ๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ คงเป็นเงาของกิ่งไม้แถวนั้นมากกว่าน่ะค่ะ” เสียงหวานบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนเนินเขานั้นอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่มข้างกายเพื่อให้เขาคลายความกังวล ‘หรือเขาจะเจาะจงให้เธอเห็นเพียงคนเดียวนะ’ สายป่านพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยความไม่เข้าใจ

“ครับ... งั้นพี่ว่าเรากลับกันเถอะ แดดเริ่มร้อนแล้ว” ภานุพูดพร้อมทั้งยื่นแขนข้างหนึ่งเข้าไปโอบที่เอวบางของหญิงสาวเพื่อแสดงความห่วงใย

“ค่ะ” สายป่านตอบรับสั้นๆ แล้วขยับตัวออกจากวงแขนของเขาเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าคนเป็นพี่ชายชักจะเข้าใกล้เธอมากเกินไปแล้ว

ทั้งสองเดินมาหยุดบริเวณที่นมอิ่มนั่งอยู่ จากนั้นก็ช่วยกันเก็บข้าวของใส่ตะกร้าให้เรียบร้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยประคองแม่นมของเขาให้ลุกขึ้น

“มาครับนม ค่อยๆ ลุกนะครับ”

“เฮ้อ... คนแก่ก็แบบนี้แหละ จะลุกจะนั่งทีต้องให้ลำบากคนอื่นไปด้วย” นมอิ่มบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก แล้วขยับตัวตามแรงโอบประคองของชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเล็ก ส่งผลให้เจ้าของวงแขนอมยิ้มนิดๆ แล้วตอบออกไปอย่างหยอกล้อ

“ไม่ลำบากหรอกครับนม ตอนผมเด็กๆ นมก็จับผมลุกๆ นั่งๆ ตั้งหลายครั้งกว่าผมจะเดินได้แบบนี้” ภานุพูดพลางค่อยๆ ขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้าโดยที่แขนข้างหนึ่งโอบกอดแม่นมเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างยื่นไปจับมือบางของสายป่านให้เดินไปด้วยกัน และนั่นทำให้หญิงสาวต้องเดินเคียงข้างเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“คุณนุก็ช่างปลอบใจคนแก่นะคะ” นมอิ่มพูดยิ้มๆ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่นางเลี้ยงมา

“เอ... ว่าแต่คุณวินติดต่อมาบ้างหรือเปล่าคะ นมทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงจริงๆ จากบ้านไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้สูงวัยถามขึ้นมาด้วยนึกเป็นห่วงและคิดถึงอีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจ
ซึ่งคำถามนี้เองทำให้หัวใจดวงน้อยของสายป่านเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่ดวงตาหวานจะเหลือบไปมองที่เนินเขานั้นอีกครั้งแล้วหันกลับมาตั้งใจฟังคำตอบของคนที่กำลังจับมือเธออยู่ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ติดต่อกับผู้ชายคนนั้นได้

“ตอนนี้นายวินได้เป็นนักบินสมความตั้งใจของเขาแล้วล่ะครับ แต่ยังไม่ยอมกลับมาอยู่เมืองไทยสักที” ภานุตอบเสียงเรียบแล้วแอบถอนหายใจบางๆ ในตอนท้าย เขาเองก็เป็นห่วงน้องชายอยู่ไม่น้อยแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่เด็กๆ ที่เขาจะไปบังคับขู่เข็นอะไรได้อีกแล้ว

สายป่านอมยิ่มออกมานิดๆ เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มที่เธอแอบชอบนั้นสบายดีและเขาก็ทำความฝันของตัวเองสำเร็จแล้ว... แต่เขาคงลืมเธอไปแล้วสินะ เพราะขนาดตอนที่เขาจะไปเขายังไม่เคยบอกลาเธอเลยสักคำ ‘คนใจร้าย’ หญิงสาวต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ก่อนจะนึกไปถึงผู้ชายชุดดำที่เธอเห็นบนเนินเขาเมื่อครู่นี้

เธอสังเหตเห็นว่าเขามักจะอยู่ตรงนั้นทุกครั้งที่เธอมาที่นี่และดูเหมือนว่าเขาจะมีจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเธอด้วย หญิงสาวไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือเขา ผู้ชายใจร้ายที่จู่ๆ ก็ทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดีคนนั้น ถึงแม้จะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าใช่เขาหรือเปล่าแต่ความรู้สึกบางอย่างในใจมันบ่งบอกว่าต้องเป็นเขาแน่ๆ พี่วินของเธอ... พี่วินที่คอยหาของเล่นมาให้เธอสาระพัด ชวนเธอไปวิ่งเล่นที่นั่นที่นี่ และเขาก็เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจของเธออย่างที่ไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย

“คุณวินเธอคงจะเสียใจและยังทำใจไม่ได้กระมังคะ แต่นมว่าการหนีไปอยู่ลำพังแบบนั้นมันจะยิ่งทำให้โดดเดี่ยวอ้างว้างและยิ่งทำใจได้ยากมากขึ้นไปอีกนะคะ” นมอิ่มพูดความคิดของตัวเองออกมาด้วยความรู้สึกเป็นกังวล

“ครับนม... ผมก็คิดแบบนั้น ตอนนี้ผมก็พยายามชวนเขาให้กลับมาอยู่บ้านเราเร็วๆ จะได้มาช่วยกันดูแลงานที่บริษัทด้วย ส่วนผมจะได้แต่งงานแต่งการมีครอบครัวสักที”

ภานุบอกความในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง มันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะพูดเรื่องนี้กับนมอิ่มให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที ยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันเข้าเขาก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี มันหวั่นไหวแปลกๆ เมื่อนึกถึงชีวิตคู่ของเขากับหญิงสาวข้างกาย... ซึ่งตอนนี้เธอยังไม่รู้ตัวว่าต้องแต่งงานกับเขา

คำพูดของภานุทำให้สองสาวต่างวัยหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเขาพร้อมกันอย่างอึ้งๆ กับสิ่งที่ได้ยิน โดยเฉพาะนมอิ่มที่มีสีหน้าฝืดฝืนและจืดเจือนลงไปอย่างเห็นได้ชัด

“คุณนุ...” นมอิ่มครางออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตกใจและคาดไม่ถึง... ทำไมนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิง นางแค่ไม่อยากฝืนใจหลานสาวเท่านั้นเองและอีกอย่างนางก็ยังไม่เคยพูดคุยเรื่องทำนองนี้กับหลานสาวคนสวยเลยสักครั้ง

ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนั้นออกจะมึนงงและรู้สึกแปลกใจมากกว่า เพราะตลอดเวลาเธอไม่เคยเห็นว่าเขาจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลยสักคน ‘วันๆ พี่นุก็ทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนด้วยซ้ำ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน’

“นมอิ่มครับ... ผมน่ะ 30 แล้วนะครับ จะให้ผมรอไปถึงเมื่อไรกัน” ภานุเอ่ยย้ำถึงความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าแม่นมของเขามีท่าทีลังเลเหมือนไม่แน่ใจ

“เอ่อ... แต่นมว่า...”

“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อที่บ้านนะครับนม ปะ ขึ้นรถกันเถอะ” เสียงเข้มรีบขัดออกมาเพื่อเป็นการตัดบท พร้อมทั้งเปิดประตูรถด้านหลังแล้วค่อยๆ ประคองส่งผู้อวุโสเข้าไปนั่งข้างในอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็หันมาเปิดประตูฝั่งข้างๆ คนขับให้กับหญิงสาวข้างกายที่ตอนนี้เขารู้สึกหวงแหนเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณค่ะ” สายป่านยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในรถด้วยอาการเกร็งๆ เพราะรู้สึกไม่ชินกับสายตาหวานหยดของชายหนุ่มที่เธอรักเสมือนพี่ชายแท้ๆ ‘พี่นุมองเธอแบบนี้อีกแล้ว ทำไมระยะนี้เขาทำตัวแปลกๆ กับเธอบ่อยจัง’ หญิงสาวคิดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อส่งสองสาวต่างวัยขึ้นรถเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็เดินอ้อมมาประจำที่ของตัวเองจากนั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนรถออกไปด้วยหัวใจที่ยังนึกเป็นกังวลกับเรื่องที่ยังคุยกับนมอิ่มค้างเอาไว้ เขายังไม่อยากให้เจ้าสาวในอนาคตของเขาเกิดความสงสัยไปมากกว่านี้ เพราะดูจากแววตาของเธอแล้วท่าทางจะงุนงงอยู่ไม่น้อยทีเดียว

นาวินขยับตัวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้เป็นที่หลบซ่อนเพื่อมองดูทุกๆ การกระทำของคนในครอบครัวที่เขาจากมาเกือบสิบปี ภานุพี่ชายของเขานั้นช่างสูงสง่าและดูภูมิฐานเหมาะสมกับตำแหน่งท่านประธานอย่างไม่มีที่ติจริงๆ  ส่วนแม่นมที่เขารักนั้นท่านดูชราภาพตามวัยและวันเวลาที่ผ่านไป แต่ท่านก็ดูแข็งแรงและคงจะสุขสบายดีเพราะดูจากรอยยิ้มเวลาที่ท่านพูดคุยกับสองหนุ่มสาวตรงหน้า

จู่ๆ หัวใจดวงแกร่งก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนแทบยืนไม่อยู่ เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาหลงรักกับพี่ชายของตัวเองสนิทสนมกันมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเฝ้ามองในทุกๆ ปี ซึ่งวันนี้การกระทำของคนทั้งคู่เปรียบเสมือนคู่รักที่กำลังอยู่ในช่วงหวานชื่นดื่มด่ำกับน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ไม่ปาน ‘พวกเขาคงบอกเรื่องนั้นกับเธอแล้วสินะ’

“เธอรักพี่นุอย่างนั้นหรือสายป่าน... เธอลืมฉันไปแล้วหรือไงกันนะ... ใช่สิ คนอย่างฉันจะไปสู้อะไรกับพี่นุได้ล่ะ ฉันก็แค่นักบินเกเรที่ไม่เอาไหนแถมยังเห็นแก่ตัวทอดทิ้งทุกคนไปอีก”

เสียงเข้มพูดออกมาลอยๆ อย่างคนสิ้นหวัง ก่อนจะสาวเท้าลงไปยังสุสานที่เป็นหลุมฝังศพของคนที่เขาเคารพรักสุดหัวใจ ชายหนุ่มย่อตัวลงคุกเข่าแล้ววางดอกกุหลาบช่อใหญ่ในมือลงตรงหน้าแท่นที่เป็นป้ายชื่อของท่านทั้งสอง ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่เกิดจากความว้าเหว่เดียวดายค่อยๆ รินไหลอาบสองแก้มสากที่ดูคมเข้มได้รูปสมวัยของเขา

ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ที่นี่และระลึกถึงบุพการีผู้ล่วงลับอยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งบ่าย แสงแดดที่เริ่มร้อนแรงสาดส่องกระทบผิวกายของเขาจนรู้สึกแสบร้อนไปหมด เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่เคยต้องเผชิญกับอากาศร้อนๆ แบบนี้ ร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยี่ห้อดังที่ราคาเหยียบล้านต้นๆ ของเขา ก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็วสูงอย่างที่เขาชื่นชอบและชำนาญ

นาวินกลับมาที่คอนโดหรูใจกลางเมืองที่เขาซื้อไว้หลังจากทำงานในอาชีพนักบินได้หนึ่งปีเต็มที่ประเทศกาตาร์ ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยได้มาประเทศไทยบ่อยนักแต่เขาก็พยายามจะเข้ามาพักที่นี่ทุกครั้งที่ต้องบินผ่าน และแน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดจะย่างกายกลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนด้วยอาการเหนื่อยล้าเพราะไม่เคยชินกับสภาพอากาศ ก่อนจะรีบเปิดแอร์และถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนเกือบหมด จากนั้นก็เดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มตรงกลางห้องอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง

วันนี้เขารู้สึกหดหู่ท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเศร้าหมองเสียใจจากการสูญเสียคนที่ตัวเองรักเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่มันเคยหายไปแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จู่ๆ เรื่องราวในอดีตก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดปานสายน้ำที่เชี่ยวกราด

            “คุณแม่แต่งตัวสวยจังเลยครับ” นาวิน เด็กหนุ่มในวัยย่าง 15 ปีเข้าไปสวมกอดมารดาอันเป็นที่รัก วันนี้คนเป็นแม่แต่งตัวสวยกว่าทุกวันจนผิดปกติแต่เขาก็ชอบและอยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันเลยยิ่งดี

            “หืม... ปากหวานจริงนะลูกชายของแม่” พิมพ์ผกาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวอมยิ้มเล็กน้อยแล้วดึงบุตรชายคนเล็กเข้ามาหอมที่หน้าผากฟอดใหญ่อย่างแสนรัก

            “แล้วคุณแม่จะไปไหนหรือครับ”

            “วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานจ้ะ คุณพ่อของลูกก็เลยจะพาแม่ออกไปทานข้าวข้างนอกบ้าน” คนเป็นแม่ตอบด้วยรอยยิ้มเอียงอาย เพราะไม่คิดว่าคนเป็นสามีจะชวนเธอออกไปดินเนอร์มื้อค่ำกันสองต่อสองในวัยเกือบเกษียณอายุแบบนี้

            “ว๊าว! มิน่าล่ะ คุณแม่ถึงแต่งตัวสวยเชียว” เด็กหนุ่มแสดงอาการตื่นเต้นดีใจพร้อมทั้งพูดชมมารดาไม่หยุด

            “คุณแม่ครับ” จู่ๆ เสียงเข้มของภานุบุตรชายคนโตของบ้านก็ดังขึ้นขัดจังหวะสองแม่ลูกที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข

            “อ้าวนุ เพิ่งทำรายงานเสร็จหรือจ๊ะ มานั่งพักกับแม่ก่อนสิลูก” พิมพ์ผกาตบที่เบาะนุ่มข้างๆ ตัวคนละฝั่งกับบุตรชายคนเล็กที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเพื่อเป็นการเชิญชวนให้บุตรชายคนโตเข้ามานั่งด้วย

            “เอ่อ... ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณแม่น่ะครับ” ภานุเหลือบมองคนเป็นน้องนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยกับมารดาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย จนคนเป็นแม่รู้สึกว่าบุตรชายคนโตนั้นต้องมีเรื่องที่เป็นความลับและอยากคุยกับเธอเพียงลำพังแน่ๆ

            “ได้สิจ๊ะลูก งั้นเดี๋ยวไปคุยกับแม่ที่ห้องหนังสือดีกว่านะ” ว่าจบคนเป็นแม่ก็หันไปสบตากับบุตรชายคนเล็กเป็นเชิงขอตัวพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จากนั้นก็ขยับลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านหน้าบุตรชายคนโตเพื่อไปที่ห้องหนังสืออย่างที่บอกไว้

            “ขอบคุณครับคุณแม่” ภานุพนมมือไหว้ขอบคุณมารดาแล้วค่อยๆ สาวเท้าตามท่านไปติดๆ

            นาวินมองการกระทำของพี่ชายอย่างมึนงงแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องส่วนตัวจริงๆ ที่อยากปรึกษาคนเป็นแม่หรือไม่ก็คงมีเรื่องอะไรให้ท่านช่วย ซึ่งเขาก็ไม่ชอบวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นอยู่แล้วแม้จะเป็นพี่ชายแท้ๆ ก็เถอะ ‘ชวนน้องป่านออกไปปั่นจักรยานเล่นดีกว่า’ เด็กหนุ่มเปรยกับตัวเองเบาๆ พลางนึกถึงสาวน้อยวัย 10 ขวบที่เป็นหลานของนมอิ่ม ซึ่งปกติเขากับเธอมักจะออกไปวิ่งเล่นด้วยกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

            ผ่านไปเพียงครู่นาวินก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งด้วยอาการหงุดหงิดเล็กๆ เพราะสาวน้อยสายป่านยังทำการบ้านไม่เสร็จ ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมารอที่นี่ก่อน ร่างสูงขยับลุกนั่งๆ นอนๆ อยู่หลายครั้งด้วยความเบื่อหน่ายกับการรอ พลันสายตาคมก็เหลือบไปเห็นนมอิ่มเดินหายเข้าไปในห้องหนังสือที่มีคุณแม่และพี่ชายของเขากำลังคุยธุระกันอยู่ ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที

            ไวเท่าความคิดนาวินลุกพรวดแล้วตรงดิ่งไปที่หน้าประตูห้องนั้นอย่างรวดเร็ว และนับว่าเป็นความโชคดีของเขาที่ประตูปิดไม่สนิทมันจึงเป็นช่องว่างแง้มออกมาแค่พอมองเห็น ทำให้เขาได้ยินสิ่งที่คนข้างในพูดคุยกันบ้างถึงแม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ก็พอจับใจความได้

            “นมอิ่มจะว่ายังไงจ๊ะ ถ้าฉันจะขอหมั้นหนูป่านให้กับตานุน่ะ” พิมพ์ผกาพูดเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและตั้งใจจริง

            “เอ่อ นมคิดว่ามันยังเร็วเกินไปนะคะคุณผกา สายป่านยังเด็ก... แกคงยังไม่ได้คิดถึงเรื่องแบบนี้และอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ” นมอิ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

            “แต่ผมรักน้องป่านจริงๆ นะครับนม” ภานุบอกย้ำความรู้สึกของตัวเองให้กับผู้ที่ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของหญิงสาวที่เขาหลงรัก เพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังคงคลางแคลงใจและไม่เชื่อมั่นในตัวเขา

            “ค่ะคุณนุ นมรู้ค่ะ แต่หลานสาวของนมน่ะสิคะ จะรักจะชอบคุณนุหรือเปล่าอันนี้นมก็ไม่แน่ใจนะคะ” นมอิ่มตัดสินใจพูดออกไปตามตรง... เรื่องของหัวใจจะบังคับกันก็ไม่ได้ ชีวิตทั้งชีวิตหากต้องมายึดติดกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักมันจะมีความสุขได้อย่างไร จะว่านางเห็นแก่ตัวหวงหลานสาวของตัวเองก็เถอะ

            “อืม นั่นสิลูก ที่นมอิ่มพูดก็ถูกนะ รอให้น้องโตกว่านี้อีกหน่อยดีกว่าไหมแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที” พิมพ์ผกาเห็นพ้องคล้อยตามผู้สูงวัยอย่างเห็นดีเห็นงาม เพราะเธอเองก็ไม่อยากบังคับฝืนใจใคร

            “แต่คุณแม่ครับ ผมรักน้องจริงๆ นะครับ” เสียงเข้มยังคงยืนยันแม้ภายในใจจะเริ่มหวั่นไหวกับสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดก็ตาม

            “แล้วน้องล่ะ รักชอบในตัวลูกเกินกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า” คนเป็นแม่ย้อนถามตรงๆ ด้วยต่างก็รู้เห็นกันอยู่ว่าเด็กๆ ทั้งสามคนสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมามากกว่าจะเป็นคู่รัก และคนที่ต้องเจ็บปวดก็คือบุตรชายของเธอถ้าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นแค่พี่ชายเท่านั้น

            “ผม... ผมไม่แน่ใจครับ แต่ต่อไปนี้ผมจะพยายามทำให้น้องป่านมองผมในแบบผู้ชายคนหนึ่งให้ได้” ภานุอึกอักในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นเมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองหมายมั่นเอาไว้

            “แต่ต้องไม่ใช่การบังคับหรือไปวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัวของน้องนะลูก ขอให้น้องมีเวลาได้คิดได้ตัดสินใจเองบ้าง” พิมพ์ผกาถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวเตือนบุตรชายอย่างใจเย็น เธอเข้าใจดีว่าเด็กในวัยนี้ค่อนข้างใจร้อนแล้วเวลาอยากได้อะไรก็ต้องให้ได้ดั่งใจ แต่เรื่องนี้มันรีบร้อนกันไม่ได้จริงๆ ดังนั้นเธอจึงต้องพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้มากที่สุด

            “ครับคุณแม่ ผมจะไม่บังคับน้อง ผมสัญญา แต่... ต่อไปนี้นมจะต้องเปิดทางและไม่กีดกันผมกับน้องป่านนะครับ”

            “นมไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ถ้าหลานสาวของนมกับคุณนุจะรักชอบกันจริงๆ นมก็ยินดีค่ะ” ผู้อาวุโสให้คำมั่นแม้ในใจจะแอบหวั่นอยู่บ้างก็ตามที

            “แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้นะลูก ห้ามทำอะไรเกินเลยกับน้องเด็ดขาด ยังไงก็ต้องให้น้องเรียนจบและบรรลุนิติภาวะก่อน” พิมพ์ผกาย้ำเตือนในสิ่งที่ทั้งเธอและนมอิ่มเป็นกังวล ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราแค่มองตากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร นมอิ่มคงเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหลาสาวคนสวยไม่น้อยทีเดียว

            “ครับคุณแม่... ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องในแบบคนรักแต่จะไม่ล่วงเกินหรือแตะต้องน้องจนเกินความเหมาะสมครับ” อีกครั้งที่คนหนุ่มให้คำมั่นสัญญาด้วยความมั่นใจและหนักแน่น

            พิมพ์ผกาสบตากับนมอิ่มแล้วอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถอดแหวนเพชรวงเล็กที่เธอใส่ติดตัวไว้ตลอดออกมาแล้วส่งให้

            “ฉันอยากให้นมอิ่มเก็บแหวนวงนี้ไว้ก่อน ถือว่าแทนคำสัญญาของตานุที่มีต่อหนูป่านนะ แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนมก็ให้หนูป่านสวมใส่แหวนวงนี้เอาไว้”

            “ขอบคุณครับคุณแม่” ภานุยกมือไหว้ขอบคุณในความกรุณาของมารดาที่เขาเคารพรัก

            “เอ่อ... จะดีหรือคะคุณผกา” ผู้สูงวัยยังคงลังเลเล็กน้อยจนคนจัดการต้องเอ่ยย้ำ

            “เอาเป็นว่า ตอนนี้ฉันสู่ขอจับจองหนูป่านเอาไว้เลยก็แล้วกัน ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่ชะตาจะลิขิตเถอะนะนมอิ่ม”

            “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” นมอิ่มถอนหายใจหนักๆ แล้วยื่นมือไปรับแหวนเพชรน้ำงามวงนั้นมาถือไว้อย่างจำยอม

            นาวินยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยหัวใจที่แตกสลาย เขาเพิ่งรู้และยอมรับกับตัวเองว่าเขามีใจรักชอบในตัวสายป่านมากกว่าความเป็นน้องสาว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้นกับเธอ ที่สำคัญตอนนี้เขาได้รับความพ่ายแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงแข่งเลยด้วยซ้ำ ‘เธอเป็นคู่หมั้นของพี่นุไปแล้ว... สายป่าน เธอมีเจ้าของแล้วและคนๆ นั้นฉันก็ไม่สามารถต่อกรอะไรได้เลย’ เด็กหนุ่มคิดในใจด้วยความปวดร้าว ก่อนจะค่อยๆ เดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบๆ

            “พี่วินคะ ป่านทำการบ้านเสร็จแล้วค่ะ เราไปปั่นจักรยานกันเถอะ” เสียงใสๆ ของเด็กสาวร้องทักขึ้นมาทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เธอแอบชอบ

            “ฉันไม่ไปแล้ว” นาวินสะบัดหน้าพรืดแล้วทำท่าจะเดินหนีไป... ตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่า

            คำเรียกขานแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้คนตัวเล็กยืนอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบตรงดิ่งเข้าไปคว้าแขนของเขาเอาไว้อย่างคนคุ้นเคย

            “อ้าวพี่วิน ก็ไหนพี่วินบอกว่าถ้าป่านทำการบ้านเสร็จแล้วจะพาไปปั่นจักรยานไงคะ” สายป่านถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ... ‘แค่เธอขอทำการบ้านก่อนทำไมต้องโกรธกันด้วยนะ’

            “ตอนนี้ฉันไม่อยากไปแล้ว เธออยากจะไปไหนก็ไปฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ” เสียงเข้มที่พูดอย่างจริงจังประกอบกับดวงตาคมที่ดูแข็งกร้าวนั้นทำให้สาวน้อยรู้สึกใจหายวาบและนึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาจับใจ แต่เพราะความอยากรู้เธอจึงทำใจกล้าเอ่ยถามเขาออกไปตรงๆ

            “อะไรกันคะพี่วิน พี่วินเป็นอะไร โกรธป่านเรื่องอะไรคะ” คนตัวเล็กพยายามอ้อนวอนเขาเหมือนที่เคยทำ ปกติเขาไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้นี่นา ถ้าโกรธกันเธอแค่ง้อเขานิดๆ หน่อยๆ เขาก็ยอมเล่นกับเธอแล้ว แต่ครั้งนี้เธอชักไม่แน่ใจ

            “ปล่อย!” นาวินตวาดเสียงดังลั่นเมื่อหญิงสาวตัวเล็กไม่ยอมปล่อยให้เขาไปหาที่สงบจิตใจอย่างที่ต้องการ

            “พี่วิน...” อีกครั้งที่เสียงหวานพยายามออดอ้อน มือน้อยๆ ยังคงบีบกำอยู่ที่แขนของเขาอย่างเหนียวแน่น

            “อย่ามายุ่งกับฉัน!” คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักคนตัวเล็กจนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้นหินอ่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว

            “โอ๊ย! พี่วิน ผลักป่านทำไมคะ” เด็กสาวที่ลำตัวบอบบางลู่ไถลลงไปกับพื้นถึงกับหลุดปากร้องโอดโอยออกมาทันทีด้วยความเจ็บปวด

            นาวินตกใจกับภาพที่เห็นสองเท้าแข็งแกร่งเตรียมจะก้าวเข้าไปดูอาการของเธอแต่ยังช้ากว่าคนเป็นพ่อที่รีบสาวเท้าตรงดิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

            “เกิดอะไรขึ้นตาวิน ทำไมผลักน้องแบบนั้น” ดนัยตะคอกถามบุตรชายคนเล็กพร้อมทั้งปราดเข้าไปดูอาการของเด็กสาวที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า

            “ผมไม่ได้ตั้งใจครับคุณพ่อ” นาวินกัดฟันตอบพลางหมุนตัวเตรียมจะวิ่งขึ้นไปข้างบน

            “ไม่ได้ตั้งใจก็ต้องขอโทษน้องสิ” คนเป็นพ่อรีบบอกหมายจะตักเตือนให้บุตรชายหันกลับมารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ แต่ผิดคาดเมื่อคนเป็นลูกยังคงสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปต่อหน้าต่อตา

            “เดี๋ยวตาวิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ พ่อบอกให้หยุดไง... ตาวิน!” ดนัยตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัดในพฤติกรรมของบุตรชายคนเล็ก และนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านแตกตื่นพากันวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ

            “เกิดอะไรขึ้นคะคุณพี่ ตาวินเป็นอะไร” พิมพ์ผการ้องถามคนเป็นสามีเสียงตื่น และเมื่อเห็นว่ามีคนบาดเจ็บเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กับร่างบางของเด็กสาวที่กำลังใช้ฝ่ามือน้อยๆ ลูบแขนลูบขาไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บ

            “ดื้อรั้นจริงๆ ไอ้ลูกคนนี้ ดูสิ ผลักน้องจนล้มหงายหลังแล้วยังจะไม่มาดูไม่มาขอโทษอีก” ดนัยส่ายหน้าอย่างนึกระอาและต่อว่าลูกชายคนเล็กให้ภรรยาฟังอย่างเหลืออด พลางส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษไปให้นมอิ่มที่เป็นยายของเด็กสาวด้วย

            “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยัยป่านไม่ได้เจ็บอะไรมาก คุณวินเธอคงกำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วยัยป่านเข้าไปเซ้าซี้ไม่ถูกจังหวะเอง” นมอิ่มที่เดินเข้ามาดูหลานสาวบอกออกมาเสียงเรียบๆ อย่างเกรงใจ ก่อนจะจับพลิกดูเรือนร่างบอบบางว่าเจ็บปวดตรงไหนบ้าง ภายในใจนั้นห่วงแสนห่วงแต่เพราะคิดว่าเด็กๆ คงแค่ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องปกติตามประสา เดี๋ยวก็ดีกันเอง

            “ป่านผิดเองค่ะคุณยาย คุณท่านอย่าว่าพี่วินเลยนะคะ ป่านมาเซ้าซี้ให้พี่วินพาไปปั่นจักรยานเองค่ะ” สายป่านพูดเสียงสั่นเครือเพราะพยายามสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่เกิดจากความเจ็บช้ำน้ำใจให้ลงไปที่เดิม

            “งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเองนะครับ” ภานุบอกเสียงนุ่มพร้อมทั้งเข้ามาจับที่ข้อมือบางของเด็กสาวในดวงใจเอาไว้อย่างอ่อนโยน

สายป่านหันมองสบตากับทุกคนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านอะไร เธอจึงเอ่ยตอบรับคำชวนของชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายคนโตออกไป

            “ค่ะพี่นุ”

            นาวินกลับขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองแล้วคิดถึงเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมาทั้งหมด ความเจ็บปวดทำให้เขาบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่ปล่อยตัวให้ใกล้ชิดเธอ และจะไม่ปล่อยใจให้หลงรักเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องผิดหวังและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ดี แล้วเขาจะรักเธอไปเพื่ออะไรสู้ให้เกลียดกันไปเลยยังดีเสียกว่า

            และในตอนค่ำของวันนั้นเองตระกูลสีหราเมธีก็ได้รับข่าวร้ายจากทางตำรวจว่าผู้เป็นประมุขทั้งสองได้ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำแล้วตกจากทางด่วนทำให้ท่านเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุอย่างกะทันหัน

            ทันทีที่รู้ข่าวร้ายทุกคนในบ้านตกใจจนแทบช็อค โดยเฉพาะกับนาวิน เพราะเขาเพิ่งมีปากเสียงกับบิดาก่อนหน้าที่ท่านจะออกไปข้างนอก เขาไม่เคยคิดเลยว่านั่นจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้พบและได้พูดคุยกันท่าน ต่อไปนี้มันคงไม่มีโอกาสให้เขาได้แก้ตัวและปรับความเข้าใจกับท่านอีกแล้ว เด็กหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายเสียใจจนแทบสิ้นสติ ประกอบกับความเจ็บปวดจากเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อตอนเย็น ทำให้เขาไม่อาจทนอยู่ในบ้านซึ่งปราศจากคนที่เขารักได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจหันหลังเดินจากมาโดยไม่คิดจะหวนกลับไปที่นั่นอีกเลย

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ๆ ตัวก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับอดีตสะดุ้งตื่นจากภวังค์ที่แสนเจ็บปวดแล้วหวนคืนกลับมาในโลกปัจจุบันด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วขึ้นมากดรับ

‘นาวินครับ’ เสียงเข้มกรอกลงไปเรียบๆ โดยไม่ทันได้ดูเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอด้วยซ้ำ

‘ไม่น่าเชื่อว่าแกจะยอมรับโทรศัพท์จากฉันได้ง่ายดายแบบนี้นะ… นายวิน’ ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันน้อยๆ เพราะแทบจะไม่มีครั้งใดที่คนเป็นน้องจะยอมรับสายจากเขาง่ายๆ เลยสักครั้ง

‘พี่นุ! ถ้าผมรู้ว่าเป็นพี่ผมคงไม่รับหรอก’ นาวินตกใจเล็กน้อยกับเสียงที่ได้ยิน ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วตั้งสติสวนกลับไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ภานุ พี่ชายสุดเฮี๊ยบของเขานั่นเอง’

‘นั่นสินะ... แกหลับอยู่เหรอ’ ภานุบอกเสียงเรียบ ก่อนจะถามในประโยคหลังเพราะน้ำเสียงของคนเป็นน้องนั้นฟังดูมึนงงแปลกๆ ตอนที่รับสายจากเขา

‘อืม ก็ทำนองนั้น พี่มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ ผมมีเวลาไม่มาก’ คนไม่พอใจรีบบอกปัดทันทีเพื่อตัดความรำคาญ และตอนนี้สติของเขาก็กลับมาครบถ้วนดีแล้วด้วย

‘เมื่อไรแกจะกลับมาอยู่บ้านเราสักที’ น้ำเสียงของคนถามนั้นเจือไปด้วยความเอือมระอาน้อยๆ เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องพูดประโยคนี้

‘ผมขอยืนยันว่า ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด’ นาวินย้ำคำตอบชัดๆ ด้วยนึกขัดใจกับคำถามของอีกฝ่าย กี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาต้องเจอคำถามนี้จากคนเป็นพี่ชาย

‘แกจะหนีไปถึงไหนกันหะนายวิน’ คนปลายสายเริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ เมื่อได้ยินคำตอบที่เขาไม่ต้องการ

‘ผมก็ไม่ได้หนีนี่ครับ คุณลุงสมภพก็รู้เรื่องทุกอย่างไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ที่ไหน’ นาวินตอบกลับอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก

‘ถ้าแกไม่ได้หนีอย่างที่ปากว่าจริงๆ ล่ะก็ แกควรจะกลับมาอยู่บ้านของเราได้แล้ว’

‘ผมไม่... ’
เสียงเข้มของนาวินที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธนั้นต้องถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีเมื่อเจอคำพูดต่อไปของคนเป็นพี่

‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าตอนนี้แกอยู่ที่ไหน อย่าให้ฉันต้องพาคนไปลากคอแกออกมานะนายวิน’ ภานุกัดฟันขู่เสียงกร้าวบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น และนั่นก็ทำให้คนฟังหมดความอดทนเช่นกัน

‘นี่มันจะมากไปแล้วนะพี่นุ พี่สั่งให้คนติดตามผมเหรอ’ นาวินกระชากเสียงถามด้วยความโกรธจัด เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนเป็นพี่จะก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาถึงเพียงนี้

‘ก็ไม่เชิง... แต่ฉันจำเป็นต้องทำ เพราะว่าฉันเป็นห่วงแก… นายวิน’ ปลายสายตอบเสียงตึงๆ อย่างเหลืออด

จากนั้นทั้งสองก็พากันนิ่งงันไปเพียงครู่ ก่อนที่คนเป็นพี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยคำถามต่อไป

‘แกรู้ใช่ไหมว่าวันนี้วันอะไร’

‘ผมรู้ และก็ไม่เคยลืมด้วย’

‘งั้นอีกเรื่องที่แกควรจะรู้และควรจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจก็คือนมอิ่มคิดถึงและเป็นห่วงแกมาก’
ภานุบอกย้ำกับน้องชายเป็นเชิงตักเตือน เพราะพวกเราสองพี่น้องไม่เคยถูกสั่งสอนให้ลืมบุญคุณคน

‘นมอิ่ม... ’ นาวินครางเรียกชื่อแม่นมที่เลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เกิดด้วยเสียงอันแผ่นเบาเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้... เขาเกือบลืมผู้มีพระคุณคนสำคัญไปเสียสนิท ทั้งๆ ที่เขาเองก็รักและคิดถึงท่านอย่างสุดหัวใจเช่นกัน

‘ใช่... หวังว่าแกคงไม่ลืมผู้มีพระคุณคนนี้นะ เพราะนั่นเท่ากับว่าแกเป็นคนที่ใช้ไม่ได้และเนรคุณที่สุด... เอาเป็นว่าเย็นนี้ฉันต้องเจอแกที่บ้านเข้าใจไหมนายวิน’ ปลายสายพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะวางสายไปทันที โดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ จากคนดื้อรั้นอีก

นาวินปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างคนคิดหนัก ก่อนจะนึกทบทวนถึงประโยคสุดท้ายของคนเป็นพี่ที่มันยังดังก้องอยู่ในห้วงความคิดทุกๆ ขณะ นมอิ่ม... แม่นมที่เลี้ยงเขาดั่งมารดามาตั้งแต่เกิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามัวแต่คิดชิงชังโกรธเกลียดและคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองจนลืมนึกถึงพระคุณของท่านไปเสียสนิท... ‘เขาช่างเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ’

“ถึงเวลาแล้วสินะ ที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงสักที รวมถึงเรื่องของเธอด้วย... สายป่าน” ชายหนุ่มพึมพำบอกกับตัวเองเหมือนเป็นการตัดสินใจ จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจไม่นานก็เผลอหลับไปในที่สุด ‘ชีวิตของเขาต่อไปนี้คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้นำทางก็แล้วกัน’

No comments:

Post a Comment