ตอนที่ 1 อดีตที่ไม่อาจหวนคืน
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โมเดิลที่มั่งคั่งทันสมัยและโอ่อ่าสมฐานะตระกูลดังเจ้าของธุรกิจสายการบินระดับชาติที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วทั้งเอเชีย
ภายในห้องโถงรับแขกที่ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราทันสมัยนั้น ชายหนุ่มผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขของบ้านกำลังนั่งจิบกาแฟสำหรับเช้าวันหยุดอยู่ที่โซฟาตัวยาวพร้อมกับแท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุดในมือ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว
ภานุ สีหราชเมธี
ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงสง่าและงดงามราวเทพบุตร
วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนและกางเกงแสลคเนื้อดีสีขาวสะอาดตา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบิดาและมารดาอันเป็นที่รักยิ่ง
โดยเขากับแม่นมพร้อมด้วยสาวน้อยที่เขาหลงรักตั้งแต่เยาว์วัยนั้นจะไปเยี่ยมท่านที่สุสานในแถบชานเมืองด้วยกันทุกปี
“พวกเราพร้อมแล้วค่ะพี่นุ”
เสียงหวานคุ้นหูที่เอ่ยเรียกชายหนุ่มนั้น
ทำให้มือแกร่งที่กำลังสาละวนกับการสัมผัสเลื่อนหน้าจอแท็บเล็ตไปมาต้องหยุดชะงัก
และหันไปมองด้วยรอยยิ้มชอบใจจนปิดไม่มิด
“ครับ... งั้นเราไปกันเลย”
ภานุตอบพร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
โดยที่ดวงตาคมเข้มนั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าหวานของคนเรียกเลยแม้แต่น้อย
สายป่าน จันทราทิพย์
เป็นชื่อของเธอ
สาวน้อยน่ารักที่บิดาและมารดาของเขารับอุปการะเอาไว้ตั้งแต่ตอนเล็กๆ
เธอเป็นหลานของนมอิ่มที่กำพร้าพ่อแม่เหมือนกับเขา
แต่ต่างกันตรงที่เธอถูกทอดทิ้งตั้งแต่อายุยังน้อยนัก
นมอิ่มจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูเอาไว้เพราะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว
เขาหลงรักเธอตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กๆ
ซึ่งตอนนั้นเขาและเธอรวมถึงน้องชายของเขาเคยวิ่งเล่นด้วยกันในบ้านหลังนี้
พวกเราสามคนมีความสนิทสนมกันมากเสมือนเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา
นั่นอาจเป็นเพราะการเล่นด้วยกันตามประสาเด็กๆ
จึงทำให้พวกเราสนิทกันได้เร็วขึ้น และเขาก็หลงรักเธอมากขึ้นทุกวันเช่นกัน
“พี่นุจ้องหน้าป่านทำไมคะ”
สายป่านที่กำลังประคองนมอิ่มซึ่งเป็นยายของเธอนั้น
เอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกสงสัยในท่าทีของชายหนุ่มที่เธอนับถือเสมือนดั่งพี่ชายแท้ๆ
“นั่นสิคะคุณนุ
นมเห็นจ้องอยู่ตั้งนานแล้วไม่ขยับไปไหนสักที”
นมอิ่มที่ยืนดูอยู่ด้วยเอ่ยสัมทับอีกแรง
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าเจ้านายหนุ่มนั้นคิดอย่างไรกับหลานสาว
เรื่องนี้ทั้งนางและคุณพิมพ์ผกามารดาของชายหนุ่มต่างก็รู้กันดี
แต่เพราะตอนนั้นทั้งสองคนยังเป็นเด็กพวกผู้ใหญ่จึงได้แต่รอเวลาแล้วคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
เท่านั้น
“เปล่าครับนม
ผมแค่รู้สึกว่าวันนี้สาวน้อยของผมสวยกว่าทุกวันน่ะครับ
ก็เลยมองเพลินไปหน่อย” ภานุแก้ตัวยิ้มๆ
แอบส่งสายตากรุ้มกริ่มเล็กน้อยไปให้หญิงสาวที่เขาพูดถึงก่อนจะขยับเท้าออกมาจากบริเวณโซฟารับแขกที่เขานั่งอยู่
“พี่นุน่ะ
ล้อป่านเล่นอีกแล้วนะคะ”
สาวน้อยที่ชายหนุ่มพูดถึงบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ
เพราะรู้สึกว่าระยะนี้เขามักจะพูดคุยกับเธอในทำนองแปลกๆ
บ่อยขึ้นจนเธออึดอัดและวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
“พี่พูดจริงๆ
ครับ... ปะ เรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวสายแล้วจะร้อน”
ร่างสูงยืนยันคำพูดพร้อมทั้งก้าวเข้ามาแย่งตะกร้าที่มีอาหารคาวหวานและดอกไม้สดจากมือของหญิงสาวมาถือไว้เอง
จากนั้นก็ขยับมาประคองนมอิ่มที่แขนอีกข้าง
“ค่ะ” สายป่านรับคำเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาแทนคำขอบคุณ
ทั้งสามคนหันมองสบตากันด้วยรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นห่วงใยที่ต่างฝ่ายต่างก็มีให้แก่กันมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขทุกคนในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนร่วมกันแบ่งปันและช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายของกันและกันให้ครอบครัวของเรานั้นสมบูรณ์พูนสุขเหมือนดั่งแต่ก่อนที่เคยเป็นมา...
แต่ใครคนหนึ่งในตระกูลสีหราชเมธีนั้นได้ละทิ้งต่อหน้าที่ และเขาก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที
บรรยากาศสุสานที่เงียบสงบท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีหลุมฝังศพเรียงรายสลับกันเป็นรูปเนินเขาน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอาณาบริเวณอันกว้างไกลจนสุดสายตา
นานๆ ทีจะมีผู้คนเข้ามากราบไหว้บรรพบุรุษของตัวเองเป็นระยะๆ
แต่ก็ไม่บ่อยนัก ทำให้ที่นี่ดูไม่น่ากลัวแต่ก็ไม่ได้ครึกครื้นจนเกินไป
ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเนินเขาด้านหลังของสุสานนั้น
ปรากฎร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดดำพร้อมทั้งสวมแว่นตากันแดด
ยืนกอดอกในท่าผ่อนคลายแล้วมองลงมาที่สุสานเบื้องล่าง ณ
จุดใดจุดหนึ่งเหมือนกับว่ากำลังรอคอยอะไรบางอย่างด้วยความตั้งใจ
นาวิน สีหราชเมธี
นักบินหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเจ้าชาย
มีรูปร่างสูงใหญ่สมส่วนและแข็งแกร่งดูน่าเกรงขาม
ประกอบกับบุคลิกที่ทะมัดทะแมง ปราดเปรียว และแฝงไปด้วยความดุดันนั้น
ทำให้เขาเป็นที่สะดุดตาของใครหลายคนที่ได้พบเห็น
รวมถึงยังเป็นหนุ่มฮอตที่สาวๆ ต่างก็หมายปองอยากได้เขามาครอบครองอีกด้วย
เขามาที่นี่ในวันนี้ของทุกปีเพื่อระลึกถึงบิดามารดาผู้ล่วงลับ
และทุกครั้งเขาจะมาเพียงคนเดียวโดยที่ไม่มีใครรู้หรืออาจจะเป็นเธอที่รู้...
แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ
ดวงตาคมเข้มภายใต้กรอบแว่นกันแดดที่ดำสนิทกำลังจ้องมองกลุ่มคนเบื้องล่างที่หน้าหลุมศพขนาดใหญ่
ผู้ชายคนนั้นเขาจำได้ดีนั่นคือพี่ชายเพียงคนเดียวของเขา
และหญิงสูงวัยที่มาด้วยนั้นก็เป็นแม่นมที่เลี้ยงเขากับพี่ชายมาตั้งแต่เกิด
ส่วนสาวสวยคนที่คอยเคียงข้างประคับประคองนมอิ่มไม่ห่างนั้น
เขาก็จดจำเธอได้ดีเช่นกันเพราะเขาใช้พื้นที่ในหัวใจทั้งดวงเก็บเธอไว้เพียงผู้เดียว
‘สายป่าน’
ผู้หญิงที่เขาคิดถึงมาตลอดและนับวันความคิดถึงก็เพิ่มมากขึ้นจนเขาแทบจะอดทนเก็บไว้ไม่อยู่
เธอเป็นคนที่เขาเฝ้ารอเพียงแค่ขอให้ได้เห็นหน้าเท่านั้น
หญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยงดงามราวกับภาพวาดของศิลปินเอก
ผิวพรรณนวลเนียนผุดผ่องดุจแพรไหม รูปร่างบอบบางสะโอดสะองน่าทะนุถนอม
ดวงตากลมโตดูสดใสมักจะเป็นประกายวิบวับทุกครั้งยามที่เธอพบเจอสิ่งถูกใจ
จมูกเล็กๆ ที่โด่งเชิดนั้นบ่งบอกได้ว่าเธอคงจะดื้อรั้นไม่น้อย
ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปเป็นสีชมพูระเรื่อน่าสัมผัส
ทุกสิ่งที่รวมเป็นเธอนั้นล้วนน่าหลงใหลจนเขาแทบคลั่งทุกครั้งที่ได้มอง...
‘แต่เขาคงไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองเธออีกแล้ว’
ชายหนุ่มคิดพร้อมทั้งปล่อยลมหายใจออกมาหนักๆ
ด้วยความรู้สึกท้อแท้ในใจจนไม่อาจทนยืนมองภาพตรงนั้นได้นาน
บริเวณเนินเขาด้านล่าง ภานุยืนสำรวจพื้นที่โดยรอบของสุสานซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าเขียวขจีที่อยู่เบื้องหน้า
จู่ๆ
หัวใจดวงแกร่งก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อเห็นว่าอาณาเขตของสุสานนั้นกว้างไกลออกไปทุกที
นั่นแสดงว่าในแต่ละปีจะมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ชายหนุ่มยืนทอดสายตามองไปรอบๆ
ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่หญิงสาวในดวงใจซึ่งเธอก็กำลังทำคล้ายๆ กับเขา
แต่ต่างกันตรงที่เขามองบรรยากาศโดยรอบแต่เธอกลับมองเฉพาะเจาะจงอยู่ที่จุดเดียวจนน่าสงสัย
“มองอะไรอยู่หรือครับน้องป่าน” ภานุเอ่ยถามหญิงสาวที่ดูเหมือนเธอกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างบนเนินเขาซึ่งเป็นต้นไม้ใหญ่
“เปล่าค่ะ...
ป่านคงตาฝาด” ร่างบางสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนข้างๆ
เรียกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะหันมายิ้มน้อยๆ
ให้เขาแล้วเอ่ยปฏิเสธเพื่อตัดปัญหาที่ค้างคาใจออกไป
“หืม ยังไงครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด
“เอ่อ...
ป่านเห็นเหมือนมีคนยืนมองพวกเราอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั่นน่ะค่ะ”
สายป่านตัดสินใจบอกพลางชี้มือไปที่เนินเขาที่เห็นอยู่ไกลๆ ให้ชายหนุ่มได้ดู
“อืม ก็ไม่เห็นมีใครนี่ครับ ให้พี่พาขึ้นไปดูไหมจะได้แน่ใจ” ภานุมองตามที่หญิงสาวชี้ แต่ก็ไม่พบใครหรือสิ่งใดที่ผิดปกติ
เขาจึงเอ่ยชวนเผื่อว่าเธอจะอยากขึ้นไปดูใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ
คงเป็นเงาของกิ่งไม้แถวนั้นมากกว่าน่ะค่ะ”
เสียงหวานบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจนักแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองบนเนินเขานั้นอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้ชายหนุ่มข้างกายเพื่อให้เขาคลายความกังวล
‘หรือเขาจะเจาะจงให้เธอเห็นเพียงคนเดียวนะ’ สายป่านพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ด้วยความไม่เข้าใจ
“ครับ... งั้นพี่ว่าเรากลับกันเถอะ
แดดเริ่มร้อนแล้ว”
ภานุพูดพร้อมทั้งยื่นแขนข้างหนึ่งเข้าไปโอบที่เอวบางของหญิงสาวเพื่อแสดงความห่วงใย
“ค่ะ” สายป่านตอบรับสั้นๆ แล้วขยับตัวออกจากวงแขนของเขาเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าคนเป็นพี่ชายชักจะเข้าใกล้เธอมากเกินไปแล้ว
ทั้งสองเดินมาหยุดบริเวณที่นมอิ่มนั่งอยู่
จากนั้นก็ช่วยกันเก็บข้าวของใส่ตะกร้าให้เรียบร้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเข้าไปช่วยประคองแม่นมของเขาให้ลุกขึ้น
“มาครับนม ค่อยๆ ลุกนะครับ”
“เฮ้อ...
คนแก่ก็แบบนี้แหละ จะลุกจะนั่งทีต้องให้ลำบากคนอื่นไปด้วย”
นมอิ่มบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
แล้วขยับตัวตามแรงโอบประคองของชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเล็ก
ส่งผลให้เจ้าของวงแขนอมยิ้มนิดๆ แล้วตอบออกไปอย่างหยอกล้อ
“ไม่ลำบากหรอกครับนม
ตอนผมเด็กๆ นมก็จับผมลุกๆ นั่งๆ ตั้งหลายครั้งกว่าผมจะเดินได้แบบนี้”
ภานุพูดพลางค่อยๆ
ขยับเท้าก้าวออกไปข้างหน้าโดยที่แขนข้างหนึ่งโอบกอดแม่นมเอาไว้
ส่วนแขนอีกข้างยื่นไปจับมือบางของสายป่านให้เดินไปด้วยกัน
และนั่นทำให้หญิงสาวต้องเดินเคียงข้างเขาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
“คุณนุก็ช่างปลอบใจคนแก่นะคะ” นมอิ่มพูดยิ้มๆ ก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะค่อยๆ เลือนหายไปเมื่อนึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่นางเลี้ยงมา
“เอ...
ว่าแต่คุณวินติดต่อมาบ้างหรือเปล่าคะ นมทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงจริงๆ
จากบ้านไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้สูงวัยถามขึ้นมาด้วยนึกเป็นห่วงและคิดถึงอีกฝ่ายอย่างสุดหัวใจ
ซึ่งคำถามนี้เองทำให้หัวใจดวงน้อยของสายป่านเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ก่อนที่ดวงตาหวานจะเหลือบไปมองที่เนินเขานั้นอีกครั้งแล้วหันกลับมาตั้งใจฟังคำตอบของคนที่กำลังจับมือเธออยู่
เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ติดต่อกับผู้ชายคนนั้นได้
“ตอนนี้นายวินได้เป็นนักบินสมความตั้งใจของเขาแล้วล่ะครับ
แต่ยังไม่ยอมกลับมาอยู่เมืองไทยสักที”
ภานุตอบเสียงเรียบแล้วแอบถอนหายใจบางๆ ในตอนท้าย
เขาเองก็เป็นห่วงน้องชายอยู่ไม่น้อยแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่เด็กๆ
ที่เขาจะไปบังคับขู่เข็นอะไรได้อีกแล้ว
สายป่านอมยิ่มออกมานิดๆ
เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มที่เธอแอบชอบนั้นสบายดีและเขาก็ทำความฝันของตัวเองสำเร็จแล้ว...
แต่เขาคงลืมเธอไปแล้วสินะ
เพราะขนาดตอนที่เขาจะไปเขายังไม่เคยบอกลาเธอเลยสักคำ ‘คนใจร้าย’
หญิงสาวต่อว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ
ก่อนจะนึกไปถึงผู้ชายชุดดำที่เธอเห็นบนเนินเขาเมื่อครู่นี้
เธอสังเหตเห็นว่าเขามักจะอยู่ตรงนั้นทุกครั้งที่เธอมาที่นี่และดูเหมือนว่าเขาจะมีจุดประสงค์เดียวกันกับพวกเธอด้วย
หญิงสาวไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือเขา ผู้ชายใจร้ายที่จู่ๆ
ก็ทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดีคนนั้น
ถึงแม้จะไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าใช่เขาหรือเปล่าแต่ความรู้สึกบางอย่างในใจมันบ่งบอกว่าต้องเป็นเขาแน่ๆ
พี่วินของเธอ... พี่วินที่คอยหาของเล่นมาให้เธอสาระพัด
ชวนเธอไปวิ่งเล่นที่นั่นที่นี่
และเขาก็เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจของเธออย่างที่ไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย
“คุณวินเธอคงจะเสียใจและยังทำใจไม่ได้กระมังคะ
แต่นมว่าการหนีไปอยู่ลำพังแบบนั้นมันจะยิ่งทำให้โดดเดี่ยวอ้างว้างและยิ่งทำใจได้ยากมากขึ้นไปอีกนะคะ”
นมอิ่มพูดความคิดของตัวเองออกมาด้วยความรู้สึกเป็นกังวล
“ครับนม...
ผมก็คิดแบบนั้น ตอนนี้ผมก็พยายามชวนเขาให้กลับมาอยู่บ้านเราเร็วๆ
จะได้มาช่วยกันดูแลงานที่บริษัทด้วย
ส่วนผมจะได้แต่งงานแต่งการมีครอบครัวสักที”
ภานุบอกความในใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง
มันถึงเวลาแล้วที่เขาควรจะพูดเรื่องนี้กับนมอิ่มให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที
ยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันเข้าเขาก็ยิ่งรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี มันหวั่นไหวแปลกๆ
เมื่อนึกถึงชีวิตคู่ของเขากับหญิงสาวข้างกาย...
ซึ่งตอนนี้เธอยังไม่รู้ตัวว่าต้องแต่งงานกับเขา
คำพูดของภานุทำให้สองสาวต่างวัยหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าเขาพร้อมกันอย่างอึ้งๆ
กับสิ่งที่ได้ยิน
โดยเฉพาะนมอิ่มที่มีสีหน้าฝืดฝืนและจืดเจือนลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“คุณนุ...”
นมอิ่มครางออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความตกใจและคาดไม่ถึง...
ทำไมนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิง
นางแค่ไม่อยากฝืนใจหลานสาวเท่านั้นเองและอีกอย่างนางก็ยังไม่เคยพูดคุยเรื่องทำนองนี้กับหลานสาวคนสวยเลยสักครั้ง
ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนั้นออกจะมึนงงและรู้สึกแปลกใจมากกว่า
เพราะตลอดเวลาเธอไม่เคยเห็นว่าเขาจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลยสักคน ‘วันๆ
พี่นุก็ทำแต่งานจนแทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนด้วยซ้ำ
แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน’
“นมอิ่มครับ... ผมน่ะ 30 แล้วนะครับ
จะให้ผมรอไปถึงเมื่อไรกัน” ภานุเอ่ยย้ำถึงความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าแม่นมของเขามีท่าทีลังเลเหมือนไม่แน่ใจ
“เอ่อ... แต่นมว่า...”
“งั้นเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันต่อที่บ้านนะครับนม
ปะ ขึ้นรถกันเถอะ” เสียงเข้มรีบขัดออกมาเพื่อเป็นการตัดบท
พร้อมทั้งเปิดประตูรถด้านหลังแล้วค่อยๆ
ประคองส่งผู้อวุโสเข้าไปนั่งข้างในอย่างนุ่มนวล
จากนั้นก็หันมาเปิดประตูฝั่งข้างๆ
คนขับให้กับหญิงสาวข้างกายที่ตอนนี้เขารู้สึกหวงแหนเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณค่ะ”
สายป่านยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปนั่งในรถด้วยอาการเกร็งๆ
เพราะรู้สึกไม่ชินกับสายตาหวานหยดของชายหนุ่มที่เธอรักเสมือนพี่ชายแท้ๆ
‘พี่นุมองเธอแบบนี้อีกแล้ว ทำไมระยะนี้เขาทำตัวแปลกๆ กับเธอบ่อยจัง’
หญิงสาวคิดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อส่งสองสาวต่างวัยขึ้นรถเรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็เดินอ้อมมาประจำที่ของตัวเองจากนั้นก็ค่อยๆ
เคลื่อนรถออกไปด้วยหัวใจที่ยังนึกเป็นกังวลกับเรื่องที่ยังคุยกับนมอิ่มค้างเอาไว้
เขายังไม่อยากให้เจ้าสาวในอนาคตของเขาเกิดความสงสัยไปมากกว่านี้
เพราะดูจากแววตาของเธอแล้วท่าทางจะงุนงงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
นาวินขยับตัวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้เป็นที่หลบซ่อนเพื่อมองดูทุกๆ การกระทำของคนในครอบครัวที่เขาจากมาเกือบสิบปี ภานุพี่ชายของเขานั้นช่างสูงสง่าและดูภูมิฐานเหมาะสมกับตำแหน่งท่านประธานอย่างไม่มีที่ติจริงๆ
ส่วนแม่นมที่เขารักนั้นท่านดูชราภาพตามวัยและวันเวลาที่ผ่านไป
แต่ท่านก็ดูแข็งแรงและคงจะสุขสบายดีเพราะดูจากรอยยิ้มเวลาที่ท่านพูดคุยกับสองหนุ่มสาวตรงหน้า
จู่ๆ
หัวใจดวงแกร่งก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาจนแทบยืนไม่อยู่
เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาหลงรักกับพี่ชายของตัวเองสนิทสนมกันมากกว่าทุกครั้งที่เขาเคยเฝ้ามองในทุกๆ
ปี
ซึ่งวันนี้การกระทำของคนทั้งคู่เปรียบเสมือนคู่รักที่กำลังอยู่ในช่วงหวานชื่นดื่มด่ำกับน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ไม่ปาน
‘พวกเขาคงบอกเรื่องนั้นกับเธอแล้วสินะ’
“เธอรักพี่นุอย่างนั้นหรือสายป่าน...
เธอลืมฉันไปแล้วหรือไงกันนะ... ใช่สิ คนอย่างฉันจะไปสู้อะไรกับพี่นุได้ล่ะ
ฉันก็แค่นักบินเกเรที่ไม่เอาไหนแถมยังเห็นแก่ตัวทอดทิ้งทุกคนไปอีก”
เสียงเข้มพูดออกมาลอยๆ
อย่างคนสิ้นหวัง
ก่อนจะสาวเท้าลงไปยังสุสานที่เป็นหลุมฝังศพของคนที่เขาเคารพรักสุดหัวใจ
ชายหนุ่มย่อตัวลงคุกเข่าแล้ววางดอกกุหลาบช่อใหญ่ในมือลงตรงหน้าแท่นที่เป็นป้ายชื่อของท่านทั้งสอง
ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาที่เกิดจากความว้าเหว่เดียวดายค่อยๆ
รินไหลอาบสองแก้มสากที่ดูคมเข้มได้รูปสมวัยของเขา
ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ที่นี่และระลึกถึงบุพการีผู้ล่วงลับอยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งบ่าย
แสงแดดที่เริ่มร้อนแรงสาดส่องกระทบผิวกายของเขาจนรู้สึกแสบร้อนไปหมด
เพราะนานมากแล้วที่เขาไม่เคยต้องเผชิญกับอากาศร้อนๆ แบบนี้
ร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ยี่ห้อดังที่ราคาเหยียบล้านต้นๆ
ของเขา ก่อนจะขับออกไปด้วยความเร็วสูงอย่างที่เขาชื่นชอบและชำนาญ
นาวินกลับมาที่คอนโดหรูใจกลางเมืองที่เขาซื้อไว้หลังจากทำงานในอาชีพนักบินได้หนึ่งปีเต็มที่ประเทศกาตาร์
ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยได้มาประเทศไทยบ่อยนักแต่เขาก็พยายามจะเข้ามาพักที่นี่ทุกครั้งที่ต้องบินผ่าน
และแน่นอนว่าเขาไม่เคยคิดจะย่างกายกลับไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
ร่างสูงเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนด้วยอาการเหนื่อยล้าเพราะไม่เคยชินกับสภาพอากาศ
ก่อนจะรีบเปิดแอร์และถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนเกือบหมด
จากนั้นก็เดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มตรงกลางห้องอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง
วันนี้เขารู้สึกหดหู่ท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกเศร้าหมองเสียใจจากการสูญเสียคนที่ตัวเองรักเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากที่มันเคยหายไปแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
จู่ๆ เรื่องราวในอดีตก็หลั่งไหลเข้ามาในห้วงความคิดปานสายน้ำที่เชี่ยวกราด
“คุณแม่แต่งตัวสวยจังเลยครับ” นาวิน เด็กหนุ่มในวัยย่าง 15 ปีเข้าไปสวมกอดมารดาอันเป็นที่รัก วันนี้คนเป็นแม่แต่งตัวสวยกว่าทุกวันจนผิดปกติแต่เขาก็ชอบและอยากให้เป็นแบบนี้ทุกวันเลยยิ่งดี
“หืม... ปากหวานจริงนะลูกชายของแม่”
พิมพ์ผกาที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวอมยิ้มเล็กน้อยแล้วดึงบุตรชายคนเล็กเข้ามาหอมที่หน้าผากฟอดใหญ่อย่างแสนรัก
“แล้วคุณแม่จะไปไหนหรือครับ”
“วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานจ้ะ
คุณพ่อของลูกก็เลยจะพาแม่ออกไปทานข้าวข้างนอกบ้าน”
คนเป็นแม่ตอบด้วยรอยยิ้มเอียงอาย
เพราะไม่คิดว่าคนเป็นสามีจะชวนเธอออกไปดินเนอร์มื้อค่ำกันสองต่อสองในวัยเกือบเกษียณอายุแบบนี้
“ว๊าว! มิน่าล่ะ คุณแม่ถึงแต่งตัวสวยเชียว” เด็กหนุ่มแสดงอาการตื่นเต้นดีใจพร้อมทั้งพูดชมมารดาไม่หยุด
“คุณแม่ครับ” จู่ๆ เสียงเข้มของภานุบุตรชายคนโตของบ้านก็ดังขึ้นขัดจังหวะสองแม่ลูกที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
“อ้าวนุ เพิ่งทำรายงานเสร็จหรือจ๊ะ มานั่งพักกับแม่ก่อนสิลูก”
พิมพ์ผกาตบที่เบาะนุ่มข้างๆ
ตัวคนละฝั่งกับบุตรชายคนเล็กที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเพื่อเป็นการเชิญชวนให้บุตรชายคนโตเข้ามานั่งด้วย
“เอ่อ... ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณแม่น่ะครับ”
ภานุเหลือบมองคนเป็นน้องนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยกับมารดาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย
จนคนเป็นแม่รู้สึกว่าบุตรชายคนโตนั้นต้องมีเรื่องที่เป็นความลับและอยากคุยกับเธอเพียงลำพังแน่ๆ
“ได้สิจ๊ะลูก
งั้นเดี๋ยวไปคุยกับแม่ที่ห้องหนังสือดีกว่านะ”
ว่าจบคนเป็นแม่ก็หันไปสบตากับบุตรชายคนเล็กเป็นเชิงขอตัวพร้อมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
จากนั้นก็ขยับลุกขึ้นยืนแล้วเดินผ่านหน้าบุตรชายคนโตเพื่อไปที่ห้องหนังสืออย่างที่บอกไว้
“ขอบคุณครับคุณแม่” ภานุพนมมือไหว้ขอบคุณมารดาแล้วค่อยๆ สาวเท้าตามท่านไปติดๆ
นาวินมองการกระทำของพี่ชายอย่างมึนงงแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องส่วนตัวจริงๆ
ที่อยากปรึกษาคนเป็นแม่หรือไม่ก็คงมีเรื่องอะไรให้ท่านช่วย
ซึ่งเขาก็ไม่ชอบวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่นอยู่แล้วแม้จะเป็นพี่ชายแท้ๆ
ก็เถอะ ‘ชวนน้องป่านออกไปปั่นจักรยานเล่นดีกว่า’ เด็กหนุ่มเปรยกับตัวเองเบาๆ พลางนึกถึงสาวน้อยวัย 10 ขวบที่เป็นหลานของนมอิ่ม ซึ่งปกติเขากับเธอมักจะออกไปวิ่งเล่นด้วยกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว
ผ่านไปเพียงครู่นาวินก็กลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งด้วยอาการหงุดหงิดเล็กๆ
เพราะสาวน้อยสายป่านยังทำการบ้านไม่เสร็จ
ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมารอที่นี่ก่อน ร่างสูงขยับลุกนั่งๆ นอนๆ
อยู่หลายครั้งด้วยความเบื่อหน่ายกับการรอ
พลันสายตาคมก็เหลือบไปเห็นนมอิ่มเดินหายเข้าไปในห้องหนังสือที่มีคุณแม่และพี่ชายของเขากำลังคุยธุระกันอยู่
ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
ไวเท่าความคิดนาวินลุกพรวดแล้วตรงดิ่งไปที่หน้าประตูห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
และนับว่าเป็นความโชคดีของเขาที่ประตูปิดไม่สนิทมันจึงเป็นช่องว่างแง้มออกมาแค่พอมองเห็น
ทำให้เขาได้ยินสิ่งที่คนข้างในพูดคุยกันบ้างถึงแม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ก็พอจับใจความได้
“นมอิ่มจะว่ายังไงจ๊ะ ถ้าฉันจะขอหมั้นหนูป่านให้กับตานุน่ะ” พิมพ์ผกาพูดเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่นและตั้งใจจริง
“เอ่อ นมคิดว่ามันยังเร็วเกินไปนะคะคุณผกา สายป่านยังเด็ก...
แกคงยังไม่ได้คิดถึงเรื่องแบบนี้และอาจจะไม่เข้าใจก็ได้ค่ะ”
นมอิ่มแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“แต่ผมรักน้องป่านจริงๆ นะครับนม”
ภานุบอกย้ำความรู้สึกของตัวเองให้กับผู้ที่ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของหญิงสาวที่เขาหลงรัก
เพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังคงคลางแคลงใจและไม่เชื่อมั่นในตัวเขา
“ค่ะคุณนุ นมรู้ค่ะ แต่หลานสาวของนมน่ะสิคะ
จะรักจะชอบคุณนุหรือเปล่าอันนี้นมก็ไม่แน่ใจนะคะ”
นมอิ่มตัดสินใจพูดออกไปตามตรง... เรื่องของหัวใจจะบังคับกันก็ไม่ได้
ชีวิตทั้งชีวิตหากต้องมายึดติดกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักมันจะมีความสุขได้อย่างไร
จะว่านางเห็นแก่ตัวหวงหลานสาวของตัวเองก็เถอะ
“อืม นั่นสิลูก ที่นมอิ่มพูดก็ถูกนะ
รอให้น้องโตกว่านี้อีกหน่อยดีกว่าไหมแล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกที”
พิมพ์ผกาเห็นพ้องคล้อยตามผู้สูงวัยอย่างเห็นดีเห็นงาม
เพราะเธอเองก็ไม่อยากบังคับฝืนใจใคร
“แต่คุณแม่ครับ ผมรักน้องจริงๆ นะครับ” เสียงเข้มยังคงยืนยันแม้ภายในใจจะเริ่มหวั่นไหวกับสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดก็ตาม
“แล้วน้องล่ะ รักชอบในตัวลูกเกินกว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า”
คนเป็นแม่ย้อนถามตรงๆ ด้วยต่างก็รู้เห็นกันอยู่ว่าเด็กๆ
ทั้งสามคนสนิทสนมกันเหมือนพี่น้องที่คลานตามกันมามากกว่าจะเป็นคู่รัก
และคนที่ต้องเจ็บปวดก็คือบุตรชายของเธอถ้าอีกฝ่ายเห็นเขาเป็นแค่พี่ชายเท่านั้น
“ผม... ผมไม่แน่ใจครับ
แต่ต่อไปนี้ผมจะพยายามทำให้น้องป่านมองผมในแบบผู้ชายคนหนึ่งให้ได้”
ภานุอึกอักในตอนแรก
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้นเมื่อพูดถึงสิ่งที่ตัวเองหมายมั่นเอาไว้
“แต่ต้องไม่ใช่การบังคับหรือไปวุ่นวายกับความเป็นส่วนตัวของน้องนะลูก
ขอให้น้องมีเวลาได้คิดได้ตัดสินใจเองบ้าง” พิมพ์ผกาถอนหายใจเบาๆ
แล้วกล่าวเตือนบุตรชายอย่างใจเย็น
เธอเข้าใจดีว่าเด็กในวัยนี้ค่อนข้างใจร้อนแล้วเวลาอยากได้อะไรก็ต้องให้ได้ดั่งใจ
แต่เรื่องนี้มันรีบร้อนกันไม่ได้จริงๆ
ดังนั้นเธอจึงต้องพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้มากที่สุด
“ครับคุณแม่ ผมจะไม่บังคับน้อง ผมสัญญา แต่... ต่อไปนี้นมจะต้องเปิดทางและไม่กีดกันผมกับน้องป่านนะครับ”
“นมไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอกค่ะ ถ้าหลานสาวของนมกับคุณนุจะรักชอบกันจริงๆ
นมก็ยินดีค่ะ” ผู้อาวุโสให้คำมั่นแม้ในใจจะแอบหวั่นอยู่บ้างก็ตามที
“แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้นะลูก ห้ามทำอะไรเกินเลยกับน้องเด็ดขาด
ยังไงก็ต้องให้น้องเรียนจบและบรรลุนิติภาวะก่อน”
พิมพ์ผกาย้ำเตือนในสิ่งที่ทั้งเธอและนมอิ่มเป็นกังวล
ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราแค่มองตากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
นมอิ่มคงเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหลาสาวคนสวยไม่น้อยทีเดียว
“ครับคุณแม่...
ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องในแบบคนรักแต่จะไม่ล่วงเกินหรือแตะต้องน้องจนเกินความเหมาะสมครับ”
อีกครั้งที่คนหนุ่มให้คำมั่นสัญญาด้วยความมั่นใจและหนักแน่น
พิมพ์ผกาสบตากับนมอิ่มแล้วอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถอดแหวนเพชรวงเล็กที่เธอใส่ติดตัวไว้ตลอดออกมาแล้วส่งให้
“ฉันอยากให้นมอิ่มเก็บแหวนวงนี้ไว้ก่อน
ถือว่าแทนคำสัญญาของตานุที่มีต่อหนูป่านนะ
แล้วเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมนมก็ให้หนูป่านสวมใส่แหวนวงนี้เอาไว้”
“ขอบคุณครับคุณแม่” ภานุยกมือไหว้ขอบคุณในความกรุณาของมารดาที่เขาเคารพรัก
“เอ่อ... จะดีหรือคะคุณผกา” ผู้สูงวัยยังคงลังเลเล็กน้อยจนคนจัดการต้องเอ่ยย้ำ
“เอาเป็นว่า ตอนนี้ฉันสู่ขอจับจองหนูป่านเอาไว้เลยก็แล้วกัน
ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็สุดแท้แต่ชะตาจะลิขิตเถอะนะนมอิ่ม”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” นมอิ่มถอนหายใจหนักๆ แล้วยื่นมือไปรับแหวนเพชรน้ำงามวงนั้นมาถือไว้อย่างจำยอม
นาวินยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยหัวใจที่แตกสลาย
เขาเพิ่งรู้และยอมรับกับตัวเองว่าเขามีใจรักชอบในตัวสายป่านมากกว่าความเป็นน้องสาว
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้นกับเธอ
ที่สำคัญตอนนี้เขาได้รับความพ่ายแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงแข่งเลยด้วยซ้ำ ‘เธอเป็นคู่หมั้นของพี่นุไปแล้ว...
สายป่าน เธอมีเจ้าของแล้วและคนๆ นั้นฉันก็ไม่สามารถต่อกรอะไรได้เลย’
เด็กหนุ่มคิดในใจด้วยความปวดร้าว ก่อนจะค่อยๆ
เดินออกมาจากตรงนั้นอย่างเงียบๆ
“พี่วินคะ
ป่านทำการบ้านเสร็จแล้วค่ะ เราไปปั่นจักรยานกันเถอะ” เสียงใสๆ
ของเด็กสาวร้องทักขึ้นมาทันทีที่เห็นชายหนุ่มที่เธอแอบชอบ
“ฉันไม่ไปแล้ว” นาวินสะบัดหน้าพรืดแล้วทำท่าจะเดินหนีไป... ตอนนี้เขาอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
คำเรียกขานแทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้คนตัวเล็กยืนอึ้งอยู่ชั่วครู่
ก่อนจะรีบตรงดิ่งเข้าไปคว้าแขนของเขาเอาไว้อย่างคนคุ้นเคย
“อ้าวพี่วิน
ก็ไหนพี่วินบอกว่าถ้าป่านทำการบ้านเสร็จแล้วจะพาไปปั่นจักรยานไงคะ”
สายป่านถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ... ‘แค่เธอขอทำการบ้านก่อนทำไมต้องโกรธกันด้วยนะ’
“ตอนนี้ฉันไม่อยากไปแล้ว เธออยากจะไปไหนก็ไปฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ”
เสียงเข้มที่พูดอย่างจริงจังประกอบกับดวงตาคมที่ดูแข็งกร้าวนั้นทำให้สาวน้อยรู้สึกใจหายวาบและนึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาจับใจ
แต่เพราะความอยากรู้เธอจึงทำใจกล้าเอ่ยถามเขาออกไปตรงๆ
“อะไรกันคะพี่วิน พี่วินเป็นอะไร โกรธป่านเรื่องอะไรคะ”
คนตัวเล็กพยายามอ้อนวอนเขาเหมือนที่เคยทำ
ปกติเขาไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้นี่นา ถ้าโกรธกันเธอแค่ง้อเขานิดๆ
หน่อยๆ เขาก็ยอมเล่นกับเธอแล้ว แต่ครั้งนี้เธอชักไม่แน่ใจ
“ปล่อย!” นาวินตวาดเสียงดังลั่นเมื่อหญิงสาวตัวเล็กไม่ยอมปล่อยให้เขาไปหาที่สงบจิตใจอย่างที่ต้องการ
“พี่วิน...” อีกครั้งที่เสียงหวานพยายามออดอ้อน มือน้อยๆ ยังคงบีบกำอยู่ที่แขนของเขาอย่างเหนียวแน่น
“อย่ามายุ่งกับฉัน!” คนตัวโตถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้กำลังทั้งหมดที่มีผลักคนตัวเล็กจนหงายหลังล้มลงไปกองกับพื้นหินอ่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว
“โอ๊ย! พี่วิน ผลักป่านทำไมคะ” เด็กสาวที่ลำตัวบอบบางลู่ไถลลงไปกับพื้นถึงกับหลุดปากร้องโอดโอยออกมาทันทีด้วยความเจ็บปวด
นาวินตกใจกับภาพที่เห็นสองเท้าแข็งแกร่งเตรียมจะก้าวเข้าไปดูอาการของเธอแต่ยังช้ากว่าคนเป็นพ่อที่รีบสาวเท้าตรงดิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นตาวิน ทำไมผลักน้องแบบนั้น”
ดนัยตะคอกถามบุตรชายคนเล็กพร้อมทั้งปราดเข้าไปดูอาการของเด็กสาวที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างไม่เป็นท่า
“ผมไม่ได้ตั้งใจครับคุณพ่อ” นาวินกัดฟันตอบพลางหมุนตัวเตรียมจะวิ่งขึ้นไปข้างบน
“ไม่ได้ตั้งใจก็ต้องขอโทษน้องสิ”
คนเป็นพ่อรีบบอกหมายจะตักเตือนให้บุตรชายหันกลับมารับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ
แต่ผิดคาดเมื่อคนเป็นลูกยังคงสาวเท้าวิ่งขึ้นบันไดไปต่อหน้าต่อตา
“เดี๋ยวตาวิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ พ่อบอกให้หยุดไง... ตาวิน!”
ดนัยตวาดเสียงดังลั่นด้วยความโกรธจัดในพฤติกรรมของบุตรชายคนเล็ก
และนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านแตกตื่นพากันวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณพี่ ตาวินเป็นอะไร” พิมพ์ผการ้องถามคนเป็นสามีเสียงตื่น
และเมื่อเห็นว่ามีคนบาดเจ็บเธอจึงรีบวิ่งเข้าไปดูแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
กับร่างบางของเด็กสาวที่กำลังใช้ฝ่ามือน้อยๆ
ลูบแขนลูบขาไปมาเพื่อบรรเทาความเจ็บ
“ดื้อรั้นจริงๆ ไอ้ลูกคนนี้ ดูสิ
ผลักน้องจนล้มหงายหลังแล้วยังจะไม่มาดูไม่มาขอโทษอีก”
ดนัยส่ายหน้าอย่างนึกระอาและต่อว่าลูกชายคนเล็กให้ภรรยาฟังอย่างเหลืออด
พลางส่งสายตาเป็นเชิงขอโทษไปให้นมอิ่มที่เป็นยายของเด็กสาวด้วย
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ยัยป่านไม่ได้เจ็บอะไรมาก
คุณวินเธอคงกำลังอารมณ์ไม่ดีแล้วยัยป่านเข้าไปเซ้าซี้ไม่ถูกจังหวะเอง”
นมอิ่มที่เดินเข้ามาดูหลานสาวบอกออกมาเสียงเรียบๆ อย่างเกรงใจ
ก่อนจะจับพลิกดูเรือนร่างบอบบางว่าเจ็บปวดตรงไหนบ้าง
ภายในใจนั้นห่วงแสนห่วงแต่เพราะคิดว่าเด็กๆ คงแค่ทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ
เป็นเรื่องปกติตามประสา เดี๋ยวก็ดีกันเอง
“ป่านผิดเองค่ะคุณยาย
คุณท่านอย่าว่าพี่วินเลยนะคะ
ป่านมาเซ้าซี้ให้พี่วินพาไปปั่นจักรยานเองค่ะ”
สายป่านพูดเสียงสั่นเครือเพราะพยายามสะกดกลั้นก้อนสะอื้นที่เกิดจากความเจ็บช้ำน้ำใจให้ลงไปที่เดิม
“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปเองนะครับ” ภานุบอกเสียงนุ่มพร้อมทั้งเข้ามาจับที่ข้อมือบางของเด็กสาวในดวงใจเอาไว้อย่างอ่อนโยน
สายป่านหันมองสบตากับทุกคนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้านอะไร เธอจึงเอ่ยตอบรับคำชวนของชายหนุ่มที่เปรียบเสมือนเป็นพี่ชายคนโตออกไป
“ค่ะพี่นุ”
นาวินกลับขึ้นมาบนห้องนอนของตัวเองแล้วคิดถึงเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมาทั้งหมด
ความเจ็บปวดทำให้เขาบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่ปล่อยตัวให้ใกล้ชิดเธอ
และจะไม่ปล่อยใจให้หลงรักเธอมากไปกว่านี้อีกแล้ว
เพราะสุดท้ายเขาก็ต้องผิดหวังและเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่ดี
แล้วเขาจะรักเธอไปเพื่ออะไรสู้ให้เกลียดกันไปเลยยังดีเสียกว่า
และในตอนค่ำของวันนั้นเองตระกูลสีหราเมธีก็ได้รับข่าวร้ายจากทางตำรวจว่าผู้เป็นประมุขทั้งสองได้ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำแล้วตกจากทางด่วนทำให้ท่านเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุอย่างกะทันหัน
ทันทีที่รู้ข่าวร้ายทุกคนในบ้านตกใจจนแทบช็อค โดยเฉพาะกับนาวิน
เพราะเขาเพิ่งมีปากเสียงกับบิดาก่อนหน้าที่ท่านจะออกไปข้างนอก
เขาไม่เคยคิดเลยว่านั่นจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาได้พบและได้พูดคุยกันท่าน
ต่อไปนี้มันคงไม่มีโอกาสให้เขาได้แก้ตัวและปรับความเข้าใจกับท่านอีกแล้ว
เด็กหนุ่มร้องไห้ฟูมฟายเสียใจจนแทบสิ้นสติ
ประกอบกับความเจ็บปวดจากเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อตอนเย็น
ทำให้เขาไม่อาจทนอยู่ในบ้านซึ่งปราศจากคนที่เขารักได้อีกต่อไป
เขาจึงตัดสินใจหันหลังเดินจากมาโดยไม่คิดจะหวนกลับไปที่นั่นอีกเลย
จู่ๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้ๆ
ตัวก็ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนที่กำลังจมอยู่กับอดีตสะดุ้งตื่นจากภวังค์ที่แสนเจ็บปวดแล้วหวนคืนกลับมาในโลกปัจจุบันด้วยอาการมึนงงเล็กน้อย
ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์เครื่องจิ๋วขึ้นมากดรับ
‘นาวินครับ’ เสียงเข้มกรอกลงไปเรียบๆ โดยไม่ทันได้ดูเบอร์ที่โชว์บนหน้าจอด้วยซ้ำ
‘ไม่น่าเชื่อว่าแกจะยอมรับโทรศัพท์จากฉันได้ง่ายดายแบบนี้นะ…
นายวิน’ ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันน้อยๆ
เพราะแทบจะไม่มีครั้งใดที่คนเป็นน้องจะยอมรับสายจากเขาง่ายๆ เลยสักครั้ง
‘พี่นุ!
ถ้าผมรู้ว่าเป็นพี่ผมคงไม่รับหรอก’ นาวินตกใจเล็กน้อยกับเสียงที่ได้ยิน
ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วตั้งสติสวนกลับไปอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ภานุ
พี่ชายสุดเฮี๊ยบของเขานั่นเอง’
‘นั่นสินะ... แกหลับอยู่เหรอ’
ภานุบอกเสียงเรียบ
ก่อนจะถามในประโยคหลังเพราะน้ำเสียงของคนเป็นน้องนั้นฟังดูมึนงงแปลกๆ
ตอนที่รับสายจากเขา
‘อืม ก็ทำนองนั้น พี่มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ
ผมมีเวลาไม่มาก’ คนไม่พอใจรีบบอกปัดทันทีเพื่อตัดความรำคาญ
และตอนนี้สติของเขาก็กลับมาครบถ้วนดีแล้วด้วย
‘เมื่อไรแกจะกลับมาอยู่บ้านเราสักที’
น้ำเสียงของคนถามนั้นเจือไปด้วยความเอือมระอาน้อยๆ
เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องพูดประโยคนี้
‘ผมขอยืนยันว่า
ไม่มีวันนั้นเด็ดขาด’ นาวินย้ำคำตอบชัดๆ ด้วยนึกขัดใจกับคำถามของอีกฝ่าย
กี่ครั้งกี่หนกันแล้วที่เขาต้องเจอคำถามนี้จากคนเป็นพี่ชาย
‘แกจะหนีไปถึงไหนกันหะนายวิน’ คนปลายสายเริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ เมื่อได้ยินคำตอบที่เขาไม่ต้องการ
‘ผมก็ไม่ได้หนีนี่ครับ คุณลุงสมภพก็รู้เรื่องทุกอย่างไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ที่ไหน’ นาวินตอบกลับอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก
‘ถ้าแกไม่ได้หนีอย่างที่ปากว่าจริงๆ ล่ะก็ แกควรจะกลับมาอยู่บ้านของเราได้แล้ว’
‘ผมไม่... ’
เสียงเข้มของนาวินที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธนั้นต้องถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอทันทีเมื่อเจอคำพูดต่อไปของคนเป็นพี่
‘อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าตอนนี้แกอยู่ที่ไหน
อย่าให้ฉันต้องพาคนไปลากคอแกออกมานะนายวิน’
ภานุกัดฟันขู่เสียงกร้าวบ่งบอกว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
และนั่นก็ทำให้คนฟังหมดความอดทนเช่นกัน
‘นี่มันจะมากไปแล้วนะพี่นุ
พี่สั่งให้คนติดตามผมเหรอ’ นาวินกระชากเสียงถามด้วยความโกรธจัด
เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนเป็นพี่จะก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขาถึงเพียงนี้
‘ก็ไม่เชิง... แต่ฉันจำเป็นต้องทำ เพราะว่าฉันเป็นห่วงแก… นายวิน’ ปลายสายตอบเสียงตึงๆ อย่างเหลืออด
จากนั้นทั้งสองก็พากันนิ่งงันไปเพียงครู่ ก่อนที่คนเป็นพี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยคำถามต่อไป
‘แกรู้ใช่ไหมว่าวันนี้วันอะไร’
‘ผมรู้ และก็ไม่เคยลืมด้วย’
‘งั้นอีกเรื่องที่แกควรจะรู้และควรจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจก็คือนมอิ่มคิดถึงและเป็นห่วงแกมาก’
ภานุบอกย้ำกับน้องชายเป็นเชิงตักเตือน เพราะพวกเราสองพี่น้องไม่เคยถูกสั่งสอนให้ลืมบุญคุณคน
‘นมอิ่ม...
’
นาวินครางเรียกชื่อแม่นมที่เลี้ยงตัวเองมาตั้งแต่เกิดด้วยเสียงอันแผ่นเบาเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...
เขาเกือบลืมผู้มีพระคุณคนสำคัญไปเสียสนิท ทั้งๆ
ที่เขาเองก็รักและคิดถึงท่านอย่างสุดหัวใจเช่นกัน
‘ใช่...
หวังว่าแกคงไม่ลืมผู้มีพระคุณคนนี้นะ
เพราะนั่นเท่ากับว่าแกเป็นคนที่ใช้ไม่ได้และเนรคุณที่สุด...
เอาเป็นว่าเย็นนี้ฉันต้องเจอแกที่บ้านเข้าใจไหมนายวิน’
ปลายสายพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะวางสายไปทันที
โดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆ จากคนดื้อรั้นอีก
นาวินปล่อยลมหายใจออกมาแรงๆ
อย่างคนคิดหนัก
ก่อนจะนึกทบทวนถึงประโยคสุดท้ายของคนเป็นพี่ที่มันยังดังก้องอยู่ในห้วงความคิดทุกๆ
ขณะ นมอิ่ม... แม่นมที่เลี้ยงเขาดั่งมารดามาตั้งแต่เกิด
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามัวแต่คิดชิงชังโกรธเกลียดและคิดถึงแต่เรื่องของตัวเองจนลืมนึกถึงพระคุณของท่านไปเสียสนิท...
‘เขาช่างเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลยจริงๆ’
“ถึงเวลาแล้วสินะ
ที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงสักที รวมถึงเรื่องของเธอด้วย... สายป่าน”
ชายหนุ่มพึมพำบอกกับตัวเองเหมือนเป็นการตัดสินใจ
จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความเหนื่อยล้าทั้งกายใจไม่นานก็เผลอหลับไปในที่สุด
‘ชีวิตของเขาต่อไปนี้คงต้องปล่อยให้โชคชะตาเป็นผู้นำทางก็แล้วกัน’
Wednesday, July 18, 2018
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment