Saturday, August 18, 2018

เสน่หาซ้อนซ่อนรักร้าย ตอนที่ 2 การกลับมาของเจ้าชายปีศาจ

ตอนที่ 2 การกลับมาของเจ้าชายปีศา



                หลังวางสายจากน้องชายที่แสนดื้อรั้นไปแล้ว ภานุก็สาวเท้าตรงดิ่งไปที่ห้องครัวทันที เพื่อตามหาแม่นมซึ่งเขามีเรื่องต้องพูดคุยและตกลงกับท่านให้เรียบร้อยก่อนที่นาวินน้องชายของเขาจะกลับมาอยู่ที่นี่ เพื่อเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
ฮึ! ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกคิดยังไงกับน้องป่าน แกอย่าหวังเลยนายวิน... ยังไงซะน้องป่านก็ต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหมายมั่น ก่อนจะหันไปเอ่ยคำสั่งกับสาวใช้ที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บล้างและทำความสะอาดในครัว
                “ช่วยตามนมอิ่มไปพบฉันที่ห้องทำงานที... อ่อ นมอิ่มคนเดียวนะ”
ที่ต้องสั่งแบบนั้นเพราะปกติแล้วนมอิ่มมักจะให้หลานสาวคนสวยคอยแนบชิดตามติดไปไหนมาไหนด้วยเสมอ แต่ครั้งนี้เขาต้องการพูดคุยกับแม่นมเพียงลำพังเท่านั้น
                “ค่ะคุณนุ” สาวใช้นามว่าลำพึงรีบตอบรับคำสั่ง แล้วพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงเข้าใจ จากนั้นก็วิ่งไปที่เรือนเล็กหลังบ้านซึ่งเป็นที่พักของแม่นมกับหลานสาวอย่างรวดเร็ว
เมื่อสั่งสาวใช้เสร็จสรรพแล้วร่างสูงของภานุก็หันหลังเดินออกไปจากห้องครัวทันที

                ภานุเข้ามาภายในห้องทำงาน ก่อนจะล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดโทรออกไปหานายสมภพซึ่งเป็นทนายความและที่ปรึกษาประจำตระกูล เพื่อเชิญให้อีกฝ่ายมาพบและร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เพราะวันนี้เขามั่นใจว่าคนเป็นน้องจะต้องกลับมาที่นี่ และเขาก็จะมอบหมายงานให้ทันทีโดยใช้อำนาจผู้บริหารและพี่ชายไปพร้อมๆ กันด้วย
                ก๊อก ก๊อก ก๊อก
                เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ชายหนุ่นหันไปมองด้วยความสนใจ
                “นมเองค่ะคุณนุ”
                ทันทีที่ได้ยินเสียงของคนที่เขาต้องการพบ ร่างสูงก็ลุกขึ้นพรวดจากเก้าอี้แล้วตรงดิ่งไปเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว
                “เชิญครับนม”
                “ค่ะ... รอนานไหมคะ พอดีนมกำลังให้ยัยป่านช่วยเก็บเสื้อผ้าเก่าๆ ใส่กล่องน่ะค่ะ” นมอิ่มพูดพร้อมทั้งส่งยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่มที่กำลังเข้ามาประคองพานางเข้าไปในห้อง
                “ไม่นานหรอกครับ... ว่าแต่ จะเก็บเสื้อผ้าไปไหนกันเหรอครับ” ภานุถามพลางส่งตัวแม่นมให้นั่งลงที่โซฟาตัวยาวตรงมุมห้องอย่างนุ่มนวล
                “ไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่ทั้งนั้น มันเยอะเต็มตู้จนแน่นไปหมด ก็เก็บๆ มันไปบ้าง”
                “ครับ งั้นผมค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่านมจะทิ้งกันซะแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยแซวอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้าม
                “หืม นมจะทิ้งไปไหนได้ล่ะคะคุณนุ นมน่ะแก่แล้วนะคะ... ว่าแต่คุณนุมีเรื่องอะไรจะพูดกับนมหรือคะ” นมอิ่มตอบกลับยิ้มๆ แล้วถามถึงสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าเรียกให้มาพบ ซึ่งนางเองก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องอะไร
                “ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับนม... เอ่อ... นมยังไม่ลืมเรื่องของผมกับน้องป่านที่คุณแม่ท่านเป็นคนจัดการให้ใช่ไหมครับ”
                คำถามของชายหนุ่มทำให้แม่นมหันไปมองหน้าเขาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก
                “นมไม่ได้ลืมหรอกค่ะ แต่ไม่คิดว่าคุณนุจะยัง... เอ่อ...”
                เรื่องมันก็ผ่านมานานเป็นสิบปีแล้ว นมอิ่มก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะยังรู้สึกแบบนั้นกับสายป่านหลานสาวของนางอยู่อีก เพราะคิดว่าทั้งหน้าที่การงาน ชื่อเสียงเงินทอง และสังคมของคนรอบข้างที่กว้างขวางมากขึ้นอาจจะทำให้เขาเปลี่ยนใจไปแล้วก็ได้... แต่ก็เปล่าเลย
                ภานุจ้องมองสีหน้าที่ดูเป็นกังวลและครุ่นคิดของนมอิ่มแล้วทำให้เขาเกิดนึกหวั่นขึ้นมาตงิดๆ จำต้องเผยความในใจให้ท่านได้ฟังอีกครั้งด้วยนำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคงเหมือนเช่นวันวาน
                “ผมขอยืนยันคำเดิมนะครับนม... ผมรักน้องป่านและผมก็เชื่อว่าเธอไม่ได้รังเกียจผมด้วย”
                “งั้นนมขอเวลาอีกสักหน่อยนะคะ แล้วนมจะบอกเรื่องนี้กับยัยป่านเองค่ะ” ผู้อวุโสแบ่งรับแบ่งสู้อย่างใจเย็น เพราะยังไงนางก็อยากให้หลานสาวได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ ไม่ใช่ผู้ใหญ่บังคับ ที่สำคัญนางก็ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าพาหลานสาวมาจับจองลูกชายบ้านนี้ตั้งแต่เล็กๆ เพื่อหวังสุขสบายและรวยทางลัด
                “ตอนนี้น้องป่านก็เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้วนะครับ หากเป็นไปได้ผมอยากจะแต่งงานกับเธอทันทีที่เรียนจบครับนม” ชายหนุ่มพยายามหว่านล้อม และบอกความตั้งใจของตัวเองออกไป จะว่าเขาใจร้อนหรือเห็นแก่ตัวก็เถอะ เขาไม่อยากรอต่อไปอีกแล้ว... ยิ่งนานวันเข้าความต้องการที่อยากจะครอบครองเป็นเจ้าของเธอก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนแทบจะทนเก็บไว้ไม่อยู่
                “ค่ะคุณนุ นมเข้าใจ แต่นม...” เสียงของผู้อาวุโสที่เตรียมจะเอ่ยคัดค้านขอต่อเวลาถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเจอคำอ้อนวอนแกมบังคับของชายหนุ่มตรงหน้า
                “นะครับนม หรือว่านมลืมความตั้งใจของคุณแม่ผมไปแล้ว” ภานุจำเป็นต้องยกมารดาที่ล่วงลับไปแล้วขึ้นมาอ้างเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของแม่นม... และมันก็ได้ผล  
                นมอิ่มนิ่งคิดเพียงครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วตอบตกลงอย่างคนอับจนหนทางที่จะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
                “ตกลงค่ะ นมจะเป็นคนสานต่อความตั้งใจของคุณผกาเอง แต่นมขอเวลาอีกสักหน่อยนะคะ”
                “ได้ครับนม... ขอบคุณมากครับ” ภานุยิ้มกว้างด้วยความดีใจจนปิดไม่มิดเมื่อได้รับคำตอบที่ตรงใจจากผู้อาวุโส
                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นนมขอตัวก่อนนะคะ จะไปดูยัยป่านเก็บเสื้อผ้าในตู้น่ะค่ะ เสร็จแล้วจะได้เตรียมอาหารเย็นกันเลย” นมอิ่มบอกเรียบๆ พร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาช้าๆ ตอนนี้นางอยากอยู่คนเดียวเพื่อคิดหาวิธีที่จะพูดคุยกับหลานสาวคนสวยดูก่อนว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่มบ้างหรือไม่ ถ้าหากว่าใจตรงกันจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าไม่ตรงล่ะ... มันจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแน่ๆ
                “ครับนม งั้นผมเดินไปส่งที่เรือนนะครับ” คนหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนแล้วเข้าไปประคองร่างอวบของแม่นมอย่างเอาใจ
                “ไม่เป็นไรค่ะคุณนุ นมไปเองได้... คุณนุทำงานเถอะค่ะ”
                “ผมไม่มีงานอะไรต้องทำหรอกครับนม ที่เข้ามานี่ก็เพราะรอคุยกับนมนั่นแหละ... และผมก็ว่าจะชวนน้องป่านออกไปข้างนอกด้วย... นมอนุญาตนะครับ” ชายหนุ่มพูดบอกพลางช่วยประคับประคองผู้อาวุโสให้ก้าวออกจากห้องทำงานของตัวเองไปด้วยกัน
                “ได้สิคะคุณนุ... แล้วจะออกไปไหนกันหรือคะ”
                “ผมจะชวนน้องป่านออกไปซื้อหนังสือน่ะครับ ได้ยินว่าอยากได้อยู่หลายเล่มเอามาทำรายงาน วันนี้ผมว่างก็เลยจะพาไปเลือกซื้อน่ะครับ”
                “ไม่น่าลำบากเลยค่ะคุณนุ เดี๋ยวยัยป่านก็ไปหาซื้อกับเพื่อนๆ หลังเลิกเรียนก็ได้ วันหยุดทั้งทีคุณนุจะได้พักผ่อนบ้าง” นมอิ่มบอกอย่างนึกเกรงใจ เพราะต่างก็รู้ๆ กันดีอยู่แล้วว่าชายหนุ่มไม่ค่อยมีเวลาได้พักผ่อนนัก ปกติก็ทำแต่งานทุกวันจนแทบไม่ได้หยุดเหมือนคนอื่นๆ เขา
                “ไม่ลำบากเลยครับนม การได้ดูแลนมกับน้องป่านถือเป็นการพักผ่อนที่มีความสุขที่สุดของผมแล้วครับ” ภานุตอบด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความยินดีและเต็มใจจนคนฟังพลอยยิ้มตามไปด้วย หากหลานสาวของนางจะมีวาสนาสูงส่งถึงผู้ชายคนนี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้วหละ ใครเลยจะไม่อยากได้ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างแบบนี้มาเป็นคู่ครองกันล่ะ
                 เมื่อเดินมาถึงเรือนเล็กก็พบว่าสายป่านนั่งรอผู้เป็นยายอยู่ก่อนแล้ว นมอิ่มพูดบอกกับภานุเพียงสองสามคำก่อนจะขอตัวขึ้นเรือนไปพักผ่อน ส่วนสายป่านเมื่อพายายขึ้นไปส่งที่ห้องนอนแล้วก็กลับลงมาหาชายหนุ่มเจ้าของบ้านซึ่งเขาบอกว่าจะพาเธอออกไปซื้อหนังสือข้างนอกด้วยกัน
               
                เวลาล่วงเลยไปจนเย็น นาวินขับรถมอเตอร์ไซต์คันหรูคู่ใจเข้ามาจอดที่ป้อมยามหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่เขาเคยอยู่มาตั้งแต่เกิด ชายหนุ่มถอดหมวกกันน็อคออกแล้วพูดคุยกับรปภ.เพียงครู่ ประตูรั้วอัลลอยก็เปิดออกกว้างต้อนรับให้เขาเข้าไปข้างในได้อย่างสะดวกสบาย... เพราะที่นี่คือบ้านของเขา
                นาวินขับรถเข้ามาจอดที่โรงรถด้านข้างของคฤหาสน์เหมือนเป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกหลังจากที่หายไปเกือบสิบปี ร่างสูงก้าวลงจากรถแล้วหันไปมองรอบๆ ตัวเหมือนกำลังสำรวจความเปลี่ยนแปลงของที่นี่ แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมดังเช่นในวันที่เขาจากไป แต่สิ่งที่เขาสัมผัสได้ทันทีนั่นก็คือความเงียบเหงา... มันเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด... ผู้คนหายไปไหนกันหมดนะ นาวินพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะขยับเท้าเดินตรงเข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ
                พลันความคิดในแวบแรกคนที่เขาอยากเจอมากที่สุดตอนนี้ก็คือ สาวน้อยสายป่าน หญิงสาวที่เขาหลงรักตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย ภายในใจนั้นอยากรู้เหลือเกินว่าถ้าหากได้พบเจอกับเธอใกล้ๆ ความสวยน่ารักของเธอจะสามารถสะกดลมหายใจของเขาได้หรือเปล่า ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ให้กับความคิดของตัวเอง จากนั้นก็สาวเท้าตรงดิ่งไปที่ห้องครัวทันทีเพราะคิดว่าเวลาเย็นๆ แบบนี้ นมอิ่มแม่นมที่เขารักและเคารพจะต้องอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน รวมทั้งแม่ครัวและคนรับใช้ที่เขายังจดจำทุกคนได้ไม่เคยลืมด้วย    
                “สวัสดีครับสาวๆ” ร่างสูงหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วทักทายแม่ครัวกับลูกมืออีกสองคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นจนไม่ทันสังเกตหรือได้ยินว่ามีคนเข้ามาในบ้าน
                เสียงเข้มๆ ของผู้มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้สามสาวแม่ลูกหันไปมองพร้อมกันด้วยความตกใจ ก่อนที่ผู้เป็นแม่จะร้องโวยวายขึ้นมาพร้อมทั้งคว้ามีดเล่มใหญ่เอาไว้เพื่อป้องกันตัว
                “ว๊าย! แกเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้ยังไงหะ”
                สิ้นเสียงขู่ตะคอกของแม่ครัวใหญ่ ลูกมืออีกสองคนก็ช่วยกันหยิบจับคว้าอาวุธใกล้ตัวขึ้นมาไว้ในมือทันที
                “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้โทรแจ้งตำรวจที ขโมยค่ะขโมย” ลำพึงที่ถือสากอยู่ในมือหันซ้ายแลขวาร้องตะโกนลั่นบ้านเพราะคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นขโมยจริงๆ ส่วนลำเพยนั้นมีตะหลิวกับฝาหม้ออันใหญ่อยู่ในมือเตรียมพร้อมจะเข้าโจมตีอีกฝ่ายเต็มที่
นาวินยืมมองสามแม่ลูกตระกูลลำทำท่าทางแปลกๆ จนต้องหลุดขำพรืดออกมาจนท้องแข็ง ก่อนจะรีบออกปากห้ามสาวใช้ที่กำลังคิดจะวิ่งออกไปหน้าบ้านเอาไว้ได้ทัน
                “เดี๋ยวครับเดี๋ยว ป้าลำดวน ลำพึง ลำเพย จำผมไม่ได้หรือไงครับ”
                คำพูดของชายหนุ่มแปลกหน้าทำให้ลำดวนแม่ครัวใหญ่ค่อยๆ ลดมือที่ถือมีดลงช้าๆ แล้วเพ่งพินิจพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาของคนตรงหน้า ก่อนจะตามมาด้วยอาการตื่นตกใจที่ยิ่งกว่าเจอขโมยอีกหลายเท่า
                “ตายแล้ว! คุณนาวิน คุณวินของป้าจริงๆ ใช้ไหมคะเนี่ย” ลำดวนร้องทักเสียงดังลั่นด้วยความดีใจแล้วทิ้งมีดในมือลงทันที ส่วนอีกสองสาวต่างก็หันมองสบตากันอย่างงงๆ เล็กน้อย เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าชายหนุ่มคนนี้คือเจ้านายน้อยของคฤหาสน์ที่หนีจากไปเมื่อหลายปีก่อน
                “ใช่ครับ ผมกัปตันนาวิน สีหราชเมธี ตัวจริงเสียงจริงครับผม... เอ่อ แต่ผมยังไม่ตายนะครับป้า” นาวินยิ้มกว้างตอบรับคำทักทายพร้อมทั้งแนะนำตัวเองเสร็จสัพอย่างอารมณ์ดี
                “ป้าขอโทษค่ะคุณวิน ก็ป้าตกใจนี่คะ... ไหนพ่อคุณ... ดูสิ โตเป็นหนุ่มตั้งเยอะแถมยังหล่อเหลาคมเข้มจนป้าจำแทบไม่ได้เลย” แม่ครัวใหญ่วิ่งปราดเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมทั้งจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาบีบนวดเอาไว้ด้วยความคิดถึงจนเกินบรรยาย ขณะที่สองสาวพี่น้องรีบเข้ามาขอโทษขอโพยคนเป็นเจ้านายกันยกใหญ่ที่เข้าใจผิดว่าเป็นขโมย ซึ่งนาวินก็ได้แต่ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรและไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด
                “ขอบคุณครับป้า เอ่อ แล้วนี่นมอิ่มไปไหนล่ะครับ” นาวินขอบคุณคำชมของแม่ครัวใหญ่ก่อนจะถามถึงผู้อาวุโสที่เขาคิดว่าน่าจะอยู่ในครัวแต่กลับไม่พบแม้แต่เงารวมถึงสาวน้อยของเขาด้วย
                ยังไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงของคนที่ชายหนุ่มต้องการพบก็ดังแว่วมาแต่ไกล
                “อะไรกันหะแม่สามลำ ร้องเอะอะโวยวายเสียงดังไปถึงที่เรือนฉันโน่นแน่ะ” นมอิ่มที่กำลังเดินมาจากเรือนเล็กชะเง้อคอต่อว่าสามสาวแม่ลูกในครัวไปด้วย
                “ขอโทษค่ะคุณนม... ก็จะไม่ให้ร้องโวยวายได้ยังไงล่ะคะ คุณนมมาดูสิคะว่าใครมา” ลำดวนรีบปรี่เข้าไปประคองนมอิ่มให้เดินเข้ามาใกล้ๆ ด้วยความดีใจและอดที่จะตื่นเต้นแทนอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะต่างก็รู้ๆ กันอยู่ว่านมอิ่มนั้นบ่นถึงเจ้านายน้อยนาวินคนนี้อยู่ทุกวัน
                “ไหนใครมากันล่ะหะ นังพวกนี้ถึงได้แตกตื่นกันยกครัวน่ะ” ผู้อาวุโสบ่นกระปอดกระแปดอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะชะงักไปเพียงครู่เมื่อเจอกับชายหนุ่มคุ้นหน้าที่ยืนเด่นอยู่ตรงประตูห้องครัว
                “สวัสดีครับนม” นาวินยกมือไหว้แม่นมที่เขารักและเคารพดั่งมารดา พร้อมทั้งรีบสาวเท้าตรงเข้าไปหาด้วยความดีใจ
                “คุณวิน!” นมอิ่มโผเข้าสวมกอดชายหนุ่มที่นางทั้งรักทั้งคิดถึงอยู่ตลอดเวลาไม่จางหาย
                “ครับนม... ผมนาวินของนมไงครับ” ร่างสูงกระชับอ้อมกอดที่อบอุ่นเอาไว้แน่นพร้อมทั้งพูดย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเป็นเขาจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน
                “โถ่... พ่อคุณ... ทูลหัวของนม กลับมาบ้านเราสักทีนะคะ นมคิดถึงเหลือเกิน” สองมือที่เหี่ยวย่นตามวัยของนมอิ่มยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าและบีบจับตามเนื้อตัวของชายหนุ่มที่เต็มแน่นไปด้วยมัดกล้ามอย่างแสนรัก เขาโตขึ้นมากจริงๆ รูปร่างสูงใหญ่เต็มตัว ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มจนจำแทบไม่ได้
“ผมก็คิดถึงนมครับ”
นาวินยิ้มรับแล้วตอบกลับไปด้วยความตื้นตันจนสุดหัวใจ ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของแม่นม ทั้งสองยืนโอบกอดพูดคุยกันอยู่สักพักก่อนที่นมอิ่มจะเป็นฝ่ายเอ่ยชวนให้เจ้านายน้อยเข้าไปคุยกันต่อในบ้าน
                “ไปค่ะคุณวิน... เราเข้าไปคุยกันข้างในดีกว่านะคะ”
“ครับนม” เสียงเข้มรับคำแล้วขยับตัวเข้าไปโอบประคองแม่นมเอาไว้ในวงแขนอย่างอ่อนโยน
“อ่อ ลำพึงเอาน้ำมาให้คุณวินด้วยนะ”
                “จ้ะคุณนม” ลำพึงขานรับเสียงฉะฉาน แล้วรีบหันไปจัดการตามที่ได้รับคำสั่งทันทีด้วยอาการดีอกดีใจจนปิดไม่มิด
                หลังจากทั้งสองออกไปจากห้องครัวแล้ว สามสาวแม่ลูกต่างก็พากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจที่เจ้านายน้อยกลับมาแล้ว แม้จะยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาอยู่กี่วัน และนานแค่ไหน แล้วจะจากไปอีกหรือเปล่าก็ตาม เพราะแค่ชายหนุ่มยอมมาปรากฎตัวที่นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว

                นาวินพานมอิ่มมานั่งที่โซฟาตัวยาวในห้องโถงรับแขก ก่อนที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นแล้วโอบกอดร่างอวบของแม่นมเอาไว้หลวมๆ พร้อมทั้งเอียงหน้าซุกซบกับตักของท่านด้วยความรักและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
                “ขึ้นมานั่งข้างบนด้วยกันเถอะค่ะคุณวิน” นมอิ่มเอ่ยปากพลางลูบศีรษะของคนที่นั่งกอดอยู่ไปด้วย
                “ขอผมอยู่แบบนี้อีกหน่อยนะครับนม” นาวินบอกเสียงอู้อี้ปนเศร้าเล็กน้อย แล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อซึมซับความรู้สึกอบอุ่นที่เขาห่างหายไปนาน
                นมอิ่มทำเพียงยิ้มน้อยๆ อย่างนึกเอ็นดูแล้วลูบไล้มืออ่อนนุ่มไปทั่วศีรษะและลงมาที่ลาดไหล่บึกบึนของชายหนุ่มที่นางเลี้ยงมากับมือตั้งแต่ยังเล็กๆ
                “แล้วคุณวินจะทิ้งนมไปอีกหรือเปล่าคะ”
                คำถามที่ฟังแล้วน่าใจหายของแม่นมทำให้นาวินลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองท่านอย่างนึกลังเลใจที่จะตอบ
                “ผม... เอ่อ... ผมก็ยังไม่แน่ใจครับ” เสียงเข้มเอ่ยออกมาเบาๆ พลางเสมองไปทางอื่นเพื่อปกปิดความรู้สึกว้าเหว่ที่มันฝังแน่นอยู่ในใจมาหลายปี... เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าอยากกลับมาอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า
                “อ้าว หมายความว่าไงคะคุณวิน” คนฟังขมวดคิ้วมุ่นแล้วถามกลับไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
                “ผมทำงานประจำอยู่ที่กาตาร์น่ะครับ ไม่ได้อยู่เมืองไทย”
                “คุณนุบอกกับนมว่าคุณวินได้เป็นนักบินสมใจแล้ว... ทำไมไม่กลับมาอยู่บ้านเราล่ะคะ” ผู้อาวุโสพยายามชี้ทางเพราะเห็นว่าชายหนุ่มทำความฝันที่ตั้งใจเอาไว้จนสำเร็จแล้ว ดังนั้นก็ควรกลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองสักที
                “ครับ... หลังจากเรียนจบผมก็ฝึกเป็นผู้ช่วยนักบินอยู่หลายปี เพิ่งจะได้เป็นกัปตันเต็มตัวเมื่อปีที่แล้วเองครับนม” นาวินบอกกับแม่นมด้วยรอยยิ้มบางๆ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามในตอนท้าย และเขาก็ไม่เคยคิดจะตอบใครอยู่แล้วด้วย ทำให้คนฟังตัดสินใจไม่เอ่ยถามเซ้าซี้ต่อไป แล้วเปลี่ยนมาชวนคุยในเรื่องอื่นแทน               
                “คุณวินของนมเก่งจริงๆ ค่ะ นมเคยได้ยินว่าเรียนการบินน่ะยากนักหนา แม้จะเรียนจบแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นนักบินกันได้ง่ายๆ ต้องฝึกหัดกันหลายปีเชียว”
                “ขอบคุณครับนม” ชายหนุ่มยิ้มรับแล้วซบใบหน้าลงกับตักของแม่นมอีกครั้ง
เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมันทำให้เขารู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
                “แล้ววันนี้คุณวินได้ไปที่...” นมอิ่มหมายถึงสถานที่ฝังศพบุพการีทั้งสองของเขา แต่ยังไม่ทันจะพูดจบเสียงเข้มก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
                “ไปครับ”
                “คุณวิน...” เสียงแผ่วเบาของแม่นมเอ่ยเรียกเขาด้วยความรู้สึกสงสารจนสุดขั้วหัวใจ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายยังคงทำใจไม่ได้และไม่อยากให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีก
                “ผมไม่เป็นไรครับนม” นาวินเปรยออกมาเรียบๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร เขาไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจเขามากกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว
                “แล้วคุณนุทราบหรือเปล่าคะว่าคุณวินจะมาบ้านน่ะค่ะ” ผู้อาวุโสยังคงถามต่อไปเรื่อยๆ
                “ทราบครับ... แล้ว เอ่อ น้อง... เอ้ย พี่นุไปไหนครับนม” นาวินเกือบหลุดปากถามหาหญิงสาวที่เขากำลังคิดถึงและรู้สึกอยากพบเจอมากที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะจึงรีบแก้คำถามใหม่ทันควันเมื่อตั้งสติได้
                “คุณนุออกไปข้างนอกน่ะค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้วหละ... ได้ยินว่านัดกับคุณทนายเอาไว้ด้วย”
นมอิ่มตอบตามตรงแม้จะพูดออกมาไม่หมดก็ตาม เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเดี๋ยวพอสองคนนั้นกลับมาชายหนุ่มก็ได้พบคนทั้งคู่อยู่ดี
                “ครับ” เสียงเข้มรับคำเบาๆ แม้จะรู้สึกคลางแคลงใจเรื่องของหญิงสาวที่เขาอยากเจออยู่บ้างแต่ก็ไม่คิดจะเอ่ยถามอะไรออกไป สายป่านไปไหนนะ ทำไมนมอิ่มไม่เห็นพูดถึงให้ฟังเลย

                ทางด้านคนที่ออกไปข้างนอกด้วยกันนั้น เมื่อเลือกซื้อหนังสือและของใช้ที่ต้องการอีกสองสามอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็ตรงดิ่งกลับบ้านทันที
                “เอ๊ะ นั่นรถใครคะพี่นุ” สายป่านชี้มือไปที่รถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ที่จอดอยู่ในโรงรถแล้วหันไปมองหน้าชายหนุ่มข้างกายด้วยความสงสัยขณะที่สองเท้าน้อยๆ กำลังก้าวลงมาจากรถของเขา
                “หืม... เอ... พี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ สงสัยบ้านเราจะมีแขก” ภานุเหลือบมองตามเสียงเรียกแล้วทำท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้กับเธอ แม้ภายในใจจะรู้ดีว่าเป็นรถของใครแต่เขาก็ไม่คิดจะบอกให้หญิงสาวตรงหน้าได้รับรู้ ฮึ! โผล่หัวมาได้สักทีนะไอ้ตัวแสบ
                “งั้นเรารีบเข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยชวนพร้อมทั้งรีบเดินไปที่บันไดทางขึ้นของคฤหาสน์ทันที เพราะเกรงว่าจะเป็นแขกของชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่พาเธอออกไปข้างนอกมา ที่สำคัญเธอกลัวว่าจะทำให้เขาเสียงานด้วย
                ภานุก้าวเท้าตามหญิงสาวไปติดๆ พร้อมกับผุดแผนการบางอย่างขึ้นมาในใจ ตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม
                “เฮ้อ... ดูสิ พาไปซื้อหนังสือตั้งเยอะตั้งแยะ หนักก็หนัก ไม่คิดจะให้รางวัลพี่บ้างเหรอครับสาวน้อย” เสียงเข้มเปรยออกมาแค่พอได้ยิน ทำให้คนที่เดินแกมวิ่งอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักแล้วหันมาส่งค้อนให้เขาวงใหญ่
                “อ้าว พี่นุมาชวนป่านเองนะคะ มาว่ากันแบบนี้ขี้โกงนี่นา” สายป่านยอกย้อนกลับไปด้วยน้ำเสียงงอนๆ
                “อะๆ ไม่ขอรางวัลแล้วก็ได้ งั้นช่วยบีบแขนให้พี่หน่อยสิครับ รู้สึกมันปวดๆ ชาๆ ยังไงก็ไม่รู้น่ะ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ในตอนแรกก่อนจะเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาในตอนท้าย ทำให้หญิงสาวคิดว่าเขาคงปวดแขนจริงๆ เพราะเขาถือถุงหนังสือที่มีความหนักหลายกิโลให้เธอมาตลอดตั้งแต่ในห้างสรรพสินค้าจนถึงตอนนี้ด้วย
                “ไหนคะพี่นุ... ขอป่านดูหน่อย... เป็นตะคริวหรือเปล่า ปวดมากไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามออกไปพร้อมทั้งเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม ก่อนที่มือเล็กๆ จะคว้าหมับที่ลำแขนแกร่งของเขาแล้วบีบนวดย้ำๆ ให้ด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด
                “ไม่มากหรอกครับ แค่บีบๆ ก็คงหายแล้วหละ” ภานุบอกยิ้มๆ พลางขยับเท้าก้าวออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับหญิงสาวที่ยังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการบีบนวดแขนให้เขา มันเป็นภาพที่ดูน่ารักและดูสนิทสนมกันมากทีเดียว
                “โอ๊ย!” จู่ๆ เสียงเข้มก็ร้องขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนที่เดินอยู่ข้างๆ ตกใจไปด้วย
                “อุ๊ย! ป่านขอโทษค่ะ พี่นุเจ็บหรือเปล่าคะ” คนตัวเล็กรีบผละมือที่กำลังบีบนวดออกจากลำแขนของเขาทันทีด้วยความเป็นห่วง เพราะคิดว่าตัวเองเผลอบีบให้เขาแรงไป
                “ไม่เจ็บหรอก พี่ล้อเล่นน่ะ” คนมีแผนบอกด้วยรอยยิ้มขบขัน และนั่นทำให้หญิงสาวกระฟัดกระเฟียดออกมาน้อยๆ อย่างน่ารักน่าชัง
                “พี่นุง่ะ แล้วที่ว่าปวดแขนนี่ก็ล้อเล่นเหมือนกันใช่ไหมคะ”
                “แหม่ รู้ทัน” ภานุทำตากรุ้มกริ่มหยอกล้อหญิงสาวแล้วยกมืออีกข้างขึ้นมาบีบจมูกน้อยๆ ของเธอเล่นอย่างที่เคยทำเป็นประจำจนร่างบางรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ ก่อนจะฟาดฝ่ามือบางลงไปที่แขนของเขาไม่ยั้งเพื่อเป็นรางวัลสำหรับคนช่างแกล้ง
                “นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
                “โอ๊ยๆ พอแล้วครับ พอแล้ว คราวนี้พี่เจ็บจริงๆ แล้วครับ” เสียงเข้มร้องโวยวายดังลั่นปานว่าเจ็บปวดซะมากมายขณะที่สองเท้ายังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่างตั้งใจ จนกระทั่งมาถึงประตูห้องโถงซึ่งเป็นห้องรับแขกของคฤหาสน์

                เสียงพูดคุยประกอบกับเสียงหัวเราะของสองหนุ่มสาวที่กำลังหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานนั้น ทำให้คนที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โซฟาต้องหันไปมองด้วยความสนใจ และในนาทีนั้นเสียงเอะอะก็เงียบลงอย่างฉับพลันทันที
                “อ้าวนายวิน” ภานุรีบชิงเอ่ยทักคนเป็นน้องก่อนที่หญิงสาวข้างกายจะทันได้ตั้งตัว เพราะดูท่าเธอจะยังงุนงงกับแขกของเขาอยู่
                “ครับพี่นุ” นาวินใช้การขานรับสั้นๆ แทนการยกมือไหว้คนเป็นพี่ ซึ่งจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่น่าเคารพและภาพที่เห็นเมื่อครู่ก็ทำให้เขาไม่ค่อยสบอารมณ์นักแม้จะไม่ทราบสาเหตุก็ตาม
                ร่างสูงของนาวินขยับลุกขึ้นจากพื้นแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาข้างๆ กับนมอิ่ม ส่วนดวงตาคมเข้มนั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหวานของหญิงสาวที่เขาแสนคิดถึงราวกับต้องมนต์สะกด ความสวยงดงามของเธอสามารถสะกดทุกลมหายใจของเขาเอาไว้ได้จริงๆ สายป่าน เธอสวยและน่ารักมากกว่าตอนที่ฉันมองเห็นไกลๆ นั่นอีก ไม่นานดวงตาคมเข้มที่หม่นแสงก็แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์และแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อเขานึกถึงความใกล้ชิดของเธอกับชายหนุ่มซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา ลองได้สนิทสนมกันขนาดนี้เธอคงยินดีกับว่าที่สามีของเธอแล้วสินะ นาวินคิดในใจอย่างนึกโมโหกับพฤติกรรมของหญิงสาวที่มีต่อพี่ชายของเขา
                ชื่อของคนที่ชายหนุ่มข้างกายเอ่ยทัก ทำให้หัวใจดวงน้อยของสายป่านกระตุกวาบและเต้นถี่รัวขึ้นมาอย่างประหลาด พี่วิน... ใช่แล้ว เขาคือพี่วินของเธอจริงๆ ด้วย หญิงสาวหันไปมองเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งดีใจ ตื่นเต้น และคิดถึงเขาอย่างสุดหัวใจ แต่เมื่อเจอกับสายตาอาฆาตที่แสดงถึงความไม่พอใจของเขาแล้วทำให้เธอรู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูกจำต้องก้มหน้านิ่งเพื่อหลบแววตาดุๆ คู่นั้น แม้จะได้เห็นเพียงแวบเดียวเธอก็รู้แล้วว่าเขาหล่อเหลามากแค่ไหน ดวงตาคมคู่นั้นถึงแม้จะดูดุดันน่ากลัวแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนเช่นวันวานที่เธอเคยสัมผัสได้ แต่ทำไมเขาถึงมองเธอแบบนั้นล่ะ... หรือว่าเขายังไม่หายโกรธเธออีก... เขาโกรธเธอด้วยเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้ฝังใจเขาขนาดนี้นะ สายป่านมัวแต่ก้มหน้าก้มตาคิดเป็นกังวลและตั้งคำถามถึงชายหนุ่มที่เธอหลงรัก จนลืมตัวเผลอปล่อยให้คนข้างๆ จับมือเอาไว้อย่างถือสิทธิ์
                “ไง... กลับบ้านถูกด้วยเหรอแกน่ะ นึกว่าต้องให้คนไปลากมาซะอีก” ภานุพูดประชดประชันออกมาอย่างไม่จริงจังนัก เขารู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองหญิงสาวข้างกายของเขาขึ้นมาตงิดๆ
                “ผมก็มาแล้วนี่ไง พี่จะเอาอะไรกับผมอีก... พูดมากจริง” คนเป็นน้องตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความหงุดหงิดรำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด พร้อมทั้งกรอกตาไปมาแล้วหันไปทางอื่นด้วยความเบื่อหน่ายก่อนจะพึมพำเบาๆ ในประโยคท้าย ยิ่งเห็นสองคนตรงหน้ายืนจับมือกันอย่างเหนียวแน่นทำให้เขายิ่งรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
                ผู้อาวุโสที่นั่งฟังอยู่นานเมื่อเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เพราะไม่อยากให้สองพี่น้องต้องปะทะฝีปากกันตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นหน้า
                “เอ้ายัยป่าน ทำไมไม่ยกมือไหว้คุณวินเขาล่ะลูก”
เสียงของผู้เป็นยายทำให้หลานสาวคนสวยสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งความคิดของตัวเองที่ทำให้เธอลืมทุกอย่างรอบตัวไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบดึงมือออกมาจากการเกาะกุมของชายหนุ่มข้างกายอย่างมึนงงเล็กน้อย
                “อะ เอ่อ ขอโทษจ้ะยาย... สวัสดีค่ะพี่วิน”
เมื่อตั้งสติได้สายป่านรีบยกมือไหว้ทำความเคารพผู้ที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อีกคน ซึ่งคนที่ถูกไหว้ทำเพียงแค่ปรายตามองเท่านั้น และนั่นทำให้ภานุที่มีตำแหน่งเป็นพี่ใหญ่เกิดความไม่พอใจอย่างมาก
                “นายวิน! น้องยกมือไหว้น่ะไม่เห็นหรือไง” ภานุตวัดเสียงเขียวใส่คนเป็นน้องอย่างจริงจังเป็นเชิงตักเตือน
                “เห็น... แล้วจะให้ผมทำยังไงล่ะครับคุณพี่ชาย” นาวินยอกย้อนกลับไปด้วยท่าทียียวนกวนประสาทจนคนว่าและคนไหว้ต้องหันมามองหน้ากันอย่างเก้อๆ ก่อนที่สายป่านจะลดมือลงแล้วค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาผู้เป็นยายที่นั่งอยู่ตรงโซฟาข้างๆ กับชายหนุ่ม และนั่นทำให้นาวินที่นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกพรวดขึ้นมาทันควัน
                “นายวิน!” เสียงเข้มตะคอกขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่พอใจในการกระทำของอีกฝ่ายจนถึงขีดสุด
                “มีอะไรก็ว่ามาสิครับพี่นุ เรียกผมอยู่ได้” นาวินเอ่ยถามพลางปรายตามองหญิงสาวที่เข้ามานั่งกับยายของเธอด้วยอาการตื่นตกใจและประหม่าเล็กน้อย ฮึ! เสียงดังแค่นี้ทำเป็นกลัว สงสัยพี่นุคงจะประคบประหงมกันอย่างดีเลยล่ะสิ
                “แกรีบตามฉันไปที่ห้องทำงานเดี๋ยวนี้เลยนะนายวิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก... ไร้มารยาทจริงๆ ไอ้น้องคนนี้”
ภานุกัดฟันออกคำสั่งกับคนเป็นน้องด้วยอารมณ์ที่พยายามสะกดกลั้นและเปรยออกมาเบาๆ ในตอนท้ายอย่างนึกเอือมระอาในพฤติกรรมของอีกฝ่าย
                “เดี๋ยวค่ะพี่นุ” สายป่านที่นั่งเงียบอยู่นานร้องเรียกชายหนุ่มเอาไว้ได้ทันพร้อมทั้งรีบวิ่งเข้าไปหา
                “ครับ” ภานุชะงักเท้าแล้วหันไปมองหญิงสาวด้วยท่าทีอ่อนโยน จนชายหนุ่มอีกคนรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
                “หนังสือป่านค่ะ” คนตัวเล็กว่าพลางยื่นมือเข้าไปหมายจะแย่งถุงหนังสือของเธอจากมือของเขา
                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวไว้พี่คุยธุระกับนายวินเสร็จแล้วพี่จะถือไปให้ที่เรือนนะครับ... มันหนัก”
ภานุบอกกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูอย่างปิดไม่มิด มือแกร่งยังคงถือถุงหนังสือเอาไว้แน่นเพื่อยืนยันความตั้งใจของเขา ทำให้คนหมั่นไส้ไม่อาจทนยืนดูได้นานร่างสูงของนาวินจึงผลุนผลันก้าวฉับๆ ออกไปจากตรงนี้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นักแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องทำงานของคนเป็นพี่ทันที
                “เอ่อ... ค่ะ ขอบคุณค่ะ” สายป่านยืนมองแผ่นหลังของชายหนุ่มอีกคนที่เดินจากไปด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณคนตรงหน้าที่เขามีน้ำใจให้กับเธอ
                ภานุหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วมองการกระทำของน้องชายด้วยความสะใจ ก่อนจะหันหลังแล้วสาวเท้าตามไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงครู่นายสมภพซึ่งเป็นทนายความประจำตระกูลที่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินและเป็นที่ปรึกษาให้กับสองพี่น้องตระกูลสีหราชเมธี ก็มาถึงตามที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นก็รีบตรงดิ่งเข้าไปในห้องทำงานด้วยอีกคนเพื่อร่วมปรึกษาหารือถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไป


No comments:

Post a Comment