Tuesday, July 17, 2018

เสน่หาทาสซาตาน ตอนที่ 2 เข้าใจผิด ยิ่งชิงชัง


ตอนที่ 2  เข้าใจผิด ยิ่งชิงชัง



เมื่อทั้งสองหนุ่มเดินมาถึงโต๊ะอาหาร ก็พบ คุณหญิงเพ็ญพักตร์กับแพรวานั่งรออยู่ก่อนแล้ว อาหารมื้อนี้เป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทะเล ของโปรดของธีรพัฒน์ คราแรกแพรวาตั้งใจจะนั่งทานในครัวกับเหล่าแม่บ้านและคนรับใช้ แต่เพราะคุณหญิงเพ็ญพักตร์สั่งให้เธอมาร่วมโต๊ะด้วย เพื่อจะได้ทำความคุ้นเคยกับลูกชายของนางไว้ ก่อนจะได้ทำงานร่วมกัน คุณหญิงเพ็ญพักตร์ประมุขของบ้านนั่งประจำที่ตรงมุมโต๊ะ ด้านขาวเป็นธีรพัฒน์ ฝั่งซ้ายเป็นทินกร ถัดไปเป็นแพรวา

ระหว่างที่ทุกคนกำลังก้มหน้าก้มตากับอาหารของตัวเองอยู่นั้น ธีรพัฒน์ก็เหลือบมองปฏิกิริยาของเลขาสาวไปด้วย เขาสังเกตเห็นว่าเธอเขี่ยผักคะน้าไว้ข้างๆ ชาม นั่นแสดงว่า ‘เธอไม่กินผักคะน้างั้นหรือ’ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เขาคนเดียวที่คอยมองหญิงสาวอยู่

“คุณแพรไม่ทานผักคะน้าหรือครับ” ทินกรเอ่ยถาม เขาสังเกตเห็นคนข้างๆ เขี่ยผักคะน้าออกข้างชาม จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คือ... แพรไม่ชอบทานน่ะค่ะ รู้สึกว่ามันแข็ง แล้วก็ขมด้วย” แพรวาหันมาตอบ แล้วยิ้มแห้งๆ ไปให้

“ฮึ มิน่า ถึงไม่โต สักที” ธีรพัฒน์ ว่า พร้อมเน้นคำว่า ไม่โต และใช้สายตาจิกมองที่หน้าอกของหญิงสาว จนหญิงสาวหน้าแดงเห่อขึ้นมา

“งั้นคุณแพร แลกผักกะหล่ำกับผมมั้ยครับ ถ้าไม่รังเกียจ” ทินกรแสดงน้ำใจกับหญิงสาว พร้อมคำลงท้ายที่เหมือนเป็นการบังคับกลายๆ ที่ใครได้ยินก็ไม่กล้าปฏิเสธ แถมยังขยับชามของตัวเองมาใกล้กับชามของหญิงสาวเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของตัวเอง หญิงสาวจึงจำเป็นต้องตอบรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับขยับชามของเธอไปใกล้ๆ กับทินกร เพื่อตักผักคะน้ากับผักกะหล่ำแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของบุคคลร่วมโต๊ะอีก 2 คนไปได้ คนหนึ่งมองด้วยความชื่นชมเอ็นดู ส่วนอีกคนมองด้วยแววตาไม่พอใจ ซึ่งธีรพัฒน์เองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมเขาต้องรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจกับภาพตรงหน้าด้วยและการกระทำของทินกรก็ทำให้ธีรพัฒน์เข้าใจความลับของทินกรที่ปกปิดเขาอยู่ ‘หรือว่า ผู้หญิงที่นายกรแอบชอบคือผู้หญิงคนนี้’ ธีรพัฒน์คิดในใจด้วยความหงุดหงิดอย่างหาสาเหตุไม่ได้

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ทุกคนก็มานั่งทานของว่างและผลไม้ที่ห้องรับแขก

“ธีร์ พร้อมจะไปทำงานแทนแม่เมื่อไหร่ดี แม่จะได้ให้หนูแพรเค้าทำหนังสือเชิญประชุมกรรมการกับผู้ถือหุ้น” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยถามบุตรชาย ส่งผลให้คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาจัดเอกสารที่นำออกมาจากห้องทำงานเพื่อเอากลับไปทำต่อที่บริษัท ต้องหยุดชะงักเพื่อรอฟังคำตอบ

“พรุ่งนี้เลยก็ได้ครับ” ตอบมารดาอย่างอารมณ์ดี แต่สายตาเหลือบไปมองหน้าหญิงสาวตลอดเวลา

“หือ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ลูก พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนดีมั้ย” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกด้วยความเป็นห่วงกลัวบุตรชายจะเหนื่อยเกินไป อยากให้พักผ่อนสักระยะค่อยไปทำงาน ยังไงก็ไม่ต้องเดินทางไปไหนอีกแล้ว

“นั่นซิ แกจะไฟแรงไปไหนฮึ นายธีร์ พักสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ได้นี่หว่า” ทินกรเห็นด้วยอีกคน

“ไม่ละ ฉันไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก อีกอย่างฉันก็ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆ มันน่าเบื่อจะตาย” เน้นเสียงหนักแน่นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง บ่งบอกว่าเขาจะทำอย่างที่พูดจริงๆ

“งั้นก็ตามใจธีร์เถอะ แม่ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่ หนูแพรทำเอกสารเชิญประชุมทันหรือป่าวจ๊ะ” ประมุขของบ้านควบด้วยตำแหน่งทานประธานเอ่ยถามเลขาสาว

“แพรทำหนังสือวันนี้ทันค่ะคุณท่าน แต่คิดว่าทางคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นคงเตรียมตัวมาประชุมพรุ่งนี้ไม่ทันแน่ค่ะ” แพรวาตอบผู้เป็นนายเสียงนุ่มนวล

“งั้นเธอก็เลื่อนประชุมไปเป็นสัปดาห์หน้าก็ได้นี่ ส่วนฉัน พรุ่งนี้จะเข้าไปศึกษางานคร่าวๆ ดูก่อน” คนที่พูด กลับเป็นเจ้านายคนใหม่ของหญิงสาว ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นเจ้านายกับลูกน้องเต็มตัว แต่เค้าก็ใช้สิทธิ์สั่งงานเธออย่างเต็มที่

“ค่ะ”  แพรวารับปาก แล้วก้มหน้าจดคำสั่งของเจ้านายคนใหม่ลงสมุดบันทึก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แพรขอตัวกลับไปทำงานต่อที่บริษัทนะคะ” หญิงสาวเอ่ยขอตัว เพื่อรีบกลับไปทำงานตามที่เจ้านายคนใหม่สั่ง เพราะดูแล้วเขาเป็นคนใจร้อนและเอาแต่ใจน่าดู หากทำอะไรชักช้าไม่ทันใจ มีหวังโดนดุแน่ๆ แพรวาแอบบ่นในใจ

“งั้น เดี๋ยวให้ตากรไปส่งดีกว่านะ เอกสารเยอะด้วย เธอจะได้ไม่ต้องลำบากตอนขึ้นแท็กซี่” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ บอกกับเลขาของนาง แต่ก็เป็นการทอดสะพานให้หลานชายด้วยนั่นเอง นางหันไปมองทินกรที่พยักหน้าแล้วอมยิ้มเหมือนเป็นการรู้กันสองคน ซึ่งกิริยาดังกล่าว หารอดพ้นสายตมคมๆ ของใครบางคนได้

เมื่อแขกทั้งสองออกไปจากบ้านแล้ว เหลือเพียงแม่ลูกนั่งคุยกันตามลำพัง

“คุณแม่ยิ้มอะไรครับ เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตั้งนาน” อดไม่ได้จึงเอ่ยถามมารดาออกไป เพราะเขานั่งมองแม่ตัวเองยิ้มอยู่นานแล้ว

“ธีร์ว่า สองคนนั้นเค้าเหมาะสมกันดีมั้ย” คนเป็นแม่ขอความเห็นจากบุตรชาย

“ใครครับ เหมาะสมกัน” แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่เขาเข้าใจในคำถามนั้นดี เพราะเขาเห็นทุกการกระทำของทั้งแม่ตัวเองและเพื่อนรัก ซึ่งนั่นทำให้เขาหงุดหงิดอย่างไม่บอกไม่ถูก

“ก็หนูแพรกับตากร นั่นไง ธีร์ว่าพวกเค้าเหมาะสมจะเป็นคู่รักกันหรือเปล่า” คราวนี้คุณหญิงเพ็ญพักตร์ อธิบายชัดเจน ซึ่งทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกวูบ

“ผมว่า นายกร ก็หน้าตาดี การงานก็มั่นคง ฐานะก็ใช่ย่อย จะหาผู้หญิงดีๆ จริงใจสักคนคงยาก เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ก็หวังแค่ชื่อเสียง เงินทองของเราทั้งนั้นแหละครับคุณแม่” ธีรพัฒน์ตอบมารดาเสียงเรียบ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำสำหรับเขา

“แล้วลูกรู้ได้ยังไงว่าหนูแพรจะเป็นผู้หญิงแบบนั้น” คนเป็นแม่เอ่ยอย่างขัดใจ

“ผู้หญิงดีๆ คงไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปไหนต่อไหนกับผู้ชายสองต่อสองหรอกครับ ถ้าไม่หวังจะให้ผู้ชายคนนั้นเลี้ยงดูน่ะ” ให้คำตอบมารดาพร้อมกับเบ้ปาก เมื่อนึกถึงเลขาสาวแสนสวยของมารดาตัวเอง ‘ฮึ! ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ’ ต่อว่าหญิงสาวในใจ

“เราก็พูดเกินไป หนูแพรเค้าทำงานกับแม่มานาน ไม่มีนิสัยแบบนั้นแน่ๆ วันๆ เค้าก็ทำงานกับแม่ ไปไหนมาไหนกับแม่ตลอด เราน่ะคิดมากไปใหญ่แล้ว” คนเป็นแม่ตำหนิลูกชายอย่างไม่จริงจังนัก

“ผมก็ไม่ได้ใส่ร้าย ปรักปรำอะไรเลขาของคุณแม่นี่ครับ ผมก็แค่ออกความเห็นในทัศนคติของผมก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอธิบายมารดาเสียงเรียบแกมหมั่นไส้เล็กๆ ที่ดูเหมือนแม่ของเขาจะเข้าข้างผู้หญิงหิวเงินคนนั้น

“ดูเหมือนธีร์ไม่ค่อยชอบหนูแพรเลยนะ แล้วอย่างนี้จะทำงานร่วมกันได้หรือ อยากเปลี่ยนเลขามั้ย แม่จะได้ย้ายให้หนูแพรไปเป็นเลขาของตากร ส่วนธีร์เดี๋ยวค่อยหาคนใหม่ หรือธีร์มีคนของธีร์ตามมาจากที่โน่นด้วยล่ะ แม่ก็ไมมีปัญหาอะไรนะ งานจะได้ราบรื่นด้วย” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ หาทางออกให้บุตรชาย เพราะดูแล้วหากปล่อยให้ไปทำงานด้วยกัน มีหวังเกิดปัญหาตามมาแน่ๆ ยิ่งไม่ชอบหน้ากันแบบนี้และนั่นก็ทำให้หัวใจของธีรพัฒน์กระตุบวูบอีกครั้งแต่ก็ยังรักษาความนิ่งได้ดี

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกครับ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ผมเพิ่งรับตำแหน่งใหม่ๆ เจอเลขาใหม่อีก เดี๋ยวจะพากันยุ่งไปใหญ่ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่มีใครตามมาด้วย” ธีรพัฒน์ย้ำประโยคท้ายหนักแน่น พลางคิดในใจถึงเลขาของเขาที่โน่น เมธินี ไม่ใช่เลขาของเขาโดยสายงานสักหน่อย และก็ไม่ใช่พนักงานของบริษัทด้วย เธอขอเข้ามาช่วยงานเขาเอง และก็มาทุกวัน อยู่กับเขาตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน จนเขาไม่ต้องมีเลขาส่วนตัว

“งั้นแม่ ก็ตามใจธีร์นะ หนูแพรเป็นคนขยัน ทำงานเก่ง แม่เองก็อยากให้เค้าทำงานกับเราแบบนี้แหละ ตั้งแต่มีหนูแพร แม่ก็เบาใจไปเยอะ ไม่ต้องอ่านเอกสารมากมาย หนูแพรเค้ารอบคอบดี อ่านสรุปมาให้แม่ทุกอย่างจนแม่แทบไม่ต้องอ่านเองเลย”  คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยชมเลขาให้ลูกชายฟัง

“ฮึ! รวมถึงหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายเก่งด้วยหรือเปล่า” คนหมั่นไส้ไม่วายเหน็บแนม

“เอ๊!  ตาธีร์นี่ยังไง แม่ไม่คุยด้วยแล้ว จะขึ้นไปพักผ่อนสักหน่อย เชิญนั่งจมอยู่กับทัศนคติของตัวเองไปเถอะ สักวันอย่ากลืนน้ำลายตัวเองก็แล้วกัน” ว่าจบ คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็สะบัดหน้าเดินขึ้นชั้นบนไป ปล่อยให้คนที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองนั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ ‘ฮึ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ หวังรวยทางลัด เห็นผู้ชายรวยๆ เป็นไม่ได้ ต้องกระโดดเข้าใส่ หาหนทางสุขสบาย โดยไม่ต้องลงทุนอะไรนอกจากใช้ร่างกายเป็นใบเบิกทาง แพรวา เธอก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นทั่วไปนั่นแหละ’


ภายในคฤหาสน์หลังงามของตระกูลดัง เจ้าของธุรกิจนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งสมาชิกในบ้านกำลังนั่งสนทนากันอย่างพร้อมเพียงอยู่ในมุมพักผ่อนของบ้าน

“คุณพ่อขา....เมนี่ยังไม่ไปทำงานกับคุณพ่อไม่ได้หรือคะ” เมธินี หรือ เมนี่ กำลังออดอ้อนผู้เป็นบิดา หลังจากที่บิดาของเธอสั่งให้เธอไปช่วยงานที่บริษัทของตัวเอง เพราะเธออยากไปทำงานกับคนที่เธอรักมากกว่า

“ทำไมล่ะลูก พ่อก็เห็นลูกเรียนจบแล้ว ประสบการณ์ทำงานที่โน่นก็มีตั้งหลายปี น่าจะพร้อมมาทำงานให้พ่อได้แล้วนะ” คนเป็นพ่อยังคงไม่เข้าใจ ในการปฏิเสธของลูก ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เมื่อไหร่ ว่าลูกสาวตัวเองไปทำงานอยู่กับใครที่โน่นตั้งหลายปี เพียงแต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าฝ่ายชายจะจริงจังกับลูกสาวตัวเองแค่ไหน เพราะไม่เห็นทางโน้นจะออกมาพูดอะไรเลยมีแต่ลูกสาวตัวเองฝ่ายเดียวที่ออกมาป่าวประกาศ

“นั่นซิ ยัยเมย์ กิจการของบ้านเราก็มีออกใหญ่โต งานก็ล้นมือ ลูกจะไปช่วยทางโน้นเขาทำไม เขาก็ไม่ได้มาขอให้เราไปช่วยสักหน่อย” คุณนายสุนีย์ ผู้เป็นแม่กล่าวเสริมอีกที ด้วยความไม่พอใจในตัวลูกสาวที่ดูเหมือนจะไปเสนอให้ฝ่ายชายฟรีๆ

“เมนี่ ค่ะคุณแม่ ไม่ใช่เมย์” สะบัดหน้าด้วยความไม่ชอบใจ แล้วหันไปออดอ้อนผู้เป็นบิดาต่อ

“นะคะ คุณพ่อ ให้เมนี่ไปทำงานกับธีร์ก่อนนะคะ นะคะ” น้ำเสียงออดอ้อนให้ผู้เป็นพ่อใจอ่อนยอมให้กับเธอจนได้

“ถ้าลูกต้องการอย่างนั้น พ่อก็ตามใจ แต่ต้องไม่นานนะ เพราะพ่อรอให้ลูกมาช่วยงานของพ่ออยู่” ใจอ่อนเพราะทนเสียงออดอ้อนของลูกสาวสุดที่รักไม่ไหว แม้จะถูกมองด้วยสายตาพิฆาตจากภรรยาก็ตาม

“จุ๊บ คุณพ่อน่ารักที่สุดเลยค่ะ งั้นเมนี่ไปก่อนนะคะ นัดกับเพื่อนไว้ค่ะ” เมื่อได้คำตอบที่ถูกใจแล้ว ก็รีบออกไปจากตรงนี้ทันที เพราะรู้ดีว่าคนเป็นแม่ต้องขัดใจและรั้งเธอไว้อีกแน่ๆ

“คุณพี่ นะ คุณพี่ ทำไมปล่อยยัยเมย์ไปแบบนี้ ทางโน้นเค้าจะดูถูกเราได้นะคะ ว่าลูกสาวเราไปเสนอตัวให้ลูกชายเค้าแบบนี้น่ะค่ะ” ออกอาการฮึดฮัดขัดใจ ที่คนเป็นสามีตามใจลูกไม่เข้าท่า พาลจะให้เสียหน้ากันทั้งตระกูล

“เอาน่า คุณนี ลูกก็ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายเมื่อไหร่กัน เดี๋ยวแกเบื่อแกก็กลับมาเองนั่นแหละ อีกอย่างผมก็ยังไม่แก่ขนาดทำงานไม่ไหวนี่นา ปล่อยลูกไปสักพักเถอะนะ” เมฆา นักธุรกิจรุ่นใหญ่บอกภรรยาอย่างใจเย็น แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ในมือต่อไป
ทางด้านคนที่หอบงานกองโตกลับมาทำต่อที่ออฟฟิศ ก็นั่งทำงานด้วยความตั้งใจอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ซึ่งตั้งอยู่หน้าห้องท่านประธาน จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน เธอรู้สึกว่าทำไมวันนี้เวลามันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน หรือเพราะเธอมัวแต่ทำงานก็ไม่รู้

“เฮ้อ.... เลิกงานแล้วหรือนี่” ใบหน้าสวยก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง ซึ่งบ่งบอกเวลา 17.00 พอดิบพอดี

จากนั้นก็เก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวลงกระเป๋า และจัดเอกสารให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อพร้อมเริ่มงานใหม่ในวันรุ่งขึ้น ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะทำงานของตัวเอง ก็ไม่ลืมที่จะเข้าไปสำรวจความเรียบร้อยในห้องของเจ้านายก่อนเสมอ เธอทำแบบนี้เป็นประจำจนเคยชิน ไม่ว่าเจ้านายของเธอจะมาทำงานหรือไม่ก็ตาม เธอก็ไม่เคยละทิ้งหน้าที่นี้ เหตุผลหนึ่งคือหน้าที่ของเลขาที่ดี แต่อีกเหตุผลหนึ่งมันคือหน้าที่ของหัวใจ ที่สั่งให้เธอเข้ามาเพื่อบอกลาเขาก่อนกลับบ้านทุกวัน

หญิงสาวยืนมองรูปของชายหนุ่มที่อยู่ในห้องเจ้านายของเธออย่างหลงใหล เหมือนอยากจะซึมซับเอารายละเอียดของเขาให้อยู่ในความทรงจำของเธอให้ลึกที่สุด เพราะความเป็นจริงเธอไม่อาจมองเขาแบบนี้ได้ ผู้ชายที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คนอย่างเขาคงมีผู้หญิงที่เพียบพร้อมคู่ควรกับเขามากมาย และเธอก็รู้ดีว่าผู้หญิงอย่างเธอคงไม่มีวันได้อยู่ในสายตาของเขาอย่างแน่นอน

“แพรกลับบ้านก่อนนะคะคุณธีร์ แล้วพรุ่งนี้พบกันค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานบอกคนในรูป เหมือนกับว่าเขามีตัวตนนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่นทุกวัน หลังจากตรวจตา ดับไฟ ดูความเรียบร้อยภายในห้องเสร็จ หญิงสาวก็ออกมาจากห้องเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

“อ้าว คุณแพร ยังไม่กลับหรอครับ” ทินกรเอ่ยถามหญิงสาวเหมือนไม่ตั้งใจ แต่จริงๆ เขามายืนรอเธอตรงมุมห้องนานแล้วแต่เธอไม่เห็นเขาเอง

“ค่ะคุณกร แพรกำลังจะกลับพอดีค่ะ คุณกรมีอะไรหรือเปล่าคะ”ถามอย่างสงสัย เพราะนี่ก็เลยเวลาเลิกงานแล้วด้วย ผู้ที่มีตำแหน่งอยู่ในฝ่ายบริหารอย่างเขา ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่จนถึงเวลาเลิกงานนี่นา

“อ่อครับ ผมก็กำลังจะกลับ พอดีเดินผ่านทางนี้เลยแวะมาดูว่าคุณแพรไปหรือยัง ว่าจะชวนออกไปพร้อมกันเลยน่ะครับ” ชายหนุ่มบอกเจตนาของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา

“อ่อค่ะ งั้นเชิญค่ะ แพรพร้อมแล้ว” พูดพร้อมกับกระชับกระเป๋าสะพาย และผายมือให้ฝ่ายชายเดินนำไปก่อน เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเดินเคียงข้างเขาเพราะรู้ดีว่ามันไม่เหมาะสมนัก แม้จะเป็นเวลาเลิกงานแล้วก็ตาม

“ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วเดินตรงไปยังลิฟท์ โดยไม่ลืมที่จะหันมาคุยกับหญิงสาวที่เดินห่างเขาในระยะกว่า 2 ก้าวเดิน แพรวามักทำแบบนี้เสมอเวลาเดินกับเขา เธอไม่เคยเดินหรือยืนใกล้ชิดกับเขาเลยยกเว้นแค่ตอนอยู่ในรถเท่านั้น ที่ไม่สามารถห่างขนาดนั้นได้ การกระทำของเธอไม่ได้แสดงออกถึงความรังเกียจข้อนี้เขารู้ดี แต่เพราะกลัวคำครหาต่างๆ นาๆ ที่จะพาให้เสื่อมเสียทั้งเขาและเธอ รวมถึงท่านประธานที่เธอนับถือเป็นอย่างมากด้วย

“คุณแพร ให้ผมไปส่งที่คอนโดนะครับ” หันไปบอกหญิงสาว และหวังว่าจะไม่ได้รับการปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง

“ไม่เป็นไรค่ะคุณกร คอนโดแพรอยู่แค่นี้เองค่ะ ปกติแพรก็เดินไปเดินกลับอยู่แล้ว ได้ออกกำลังกายด้วยค่ะ” หญิงสาวปฏิเสธอย่างมีมารยาท และเธอก็หมายความอย่างที่พูดจริงๆ คอนโดที่เธอพักอยู่ใกล้ๆ แค่ 3 ป้ายรถเมล์ เธอจึงเดินทางสะดวก ไม่ต้องติดเเหง็กอยู่บนรถเป็นเวลานานๆ เธอคิดถูกแล้วที่เลือกซื้อคอนโดใกล้ที่ทำงาน มากกว่าซื้อรถขับ

“ก็เพราะอยู่ใกล้ไงครับ ยังไงผมก็ต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้ว ให้ผมไปส่งเถอะครับ... นะครับ” ไม่ใช่แค่เขาหรอกนะที่ผ่าน เรียกได้ว่าทุกคนที่ออกจากบริษัท ก็ต้องผ่านทางนี้ทั้งนั้นแหละ แต่ยังไงซะ วันนี้เขาก็จะไปส่งเธอให้ได้

“เอ่อ... งั้นก็ได้ค่ะ” รับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูท่าวันนี้เขาเอาจริง เธอเองก็ปฏิเสธเขามาหลายครั้งแล้วด้วย หากยังดื้อดึงปฏิเสธอีก ก็คงเป็นการเสียมารยาท

ชายหนุ่มพาหญิงสาวไปขึ้นรถของตัวเอง แล้วพาขับออกไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นรถคันหรูของใครบางคนที่จอดอยู่ข้างทางตรงหน้าบริษัท

ธีรพัฒน์ กำลังจะเลี้ยวรถเข้าอาคารที่ตั้งของบริษัท เขาตั้งใจมาดูสถานที่ทำงานก่อนจะมาเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ พอเห็นรถของเพื่อนออกไปพร้อมกับเลขาคนสวยของแม่เขา จู่ๆ ก็เกิดอาการหงุดหงิดไม่พอใจอย่างไม่ทราบสาเหตุขึ้นมา แล้วหันพวงมาลัยรถออกเพื่อติดตามรถของเพื่อนไป ‘ฮึ! นี่ถึงกับเทียวรับเทียวส่งกันขนาดนี้แล้วหรอ’ สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ไม่นาน รถคันที่เขาตามก็เข้าไปในคอนโดแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากบริษัทมากนัก ธีรพัฒน์แค่ชะลอรถเพื่อมองให้ชัดๆ ว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นใช่เพื่อนของเขากับเลขาคนดีของแม่เขาจริงๆ พอแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ ก็รีบบึ่งรถออกไปให้พ้นจากตรงนั้นทันที โดยไม่หันกลับมามองอีก ‘นี่นะหรือ คนดีของคุณแม่ ทีต่อหน้าแม่เขา ทำเป็นเรียบร้อยใสซื่อไร้เดียงสา พอลับหลังก็พาผู้ชายขึ้นคอนโด เธอก็เป็นเหมือนที่ฉันคิดไว้ไม่มีผิด แพรวา ผู้หญิงหิวเงิน ไอ้กรก็อีกคน ต่อหน้าเขาทำเป็นมีลับลมคมใน ที่แท้ก็แอบไปเจาะไข่แดงกันเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีหน้ามาปิดบังเขาอีก’ คิดแล้วมันน่าโมโหนัก จะเพราะอะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จึงขับรถออกไปบนถนนเรื่อยๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านอยู่ตอนนี้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร ช่วงนี้รู้สึกเขาจะหงุดหงิดบ่อยขึ้นตั้งแต่เจอหน้ายัยผู้หญิงหิวเงินคนดีของแม่เขาคนนี้ ดูเหมือนยัยนั่นจะทำอะไรก็ขัดหูขัดตาเขาไปซะหมด หรือเพราะเขาเกลียดผู้หญิงแบบนี้ ‘ใช่! เขาเกลียดผู้หญิงแบบนี้ ใช่แล้วเขาเกลียดเธอ’ เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถและมองไปที่ถนนข้างหน้าต่อไป

“ขอบคุณค่ะคุณกร” หญิงสาวกล่าวขณะก้าวลงจากรถคันใหญ่ เมื่อรถเข้ามาจอดที่หน้าประตูทางเข้าคอนโดของเธอแล้ว

“ไม่เป็นไรคับ ผมยินดี พรุ่งนี้เจอกันครับ”จะดีกว่านี้ถ้าเขาได้มาส่งเธอทุกวัน ชายหนุ่มในรถคิดในใจอย่างหมายมั่น

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ แล้วเดินเข้าคอนโดไป
เมื่อกลับมาถึงห้องพักของตัวเองแล้ว หญิงสาวก็เตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาจัดการกับอาหารมื้อเย็นของเธอที่เตรียมไว้ในตู้เย็น ระหว่างที่กำลังหันซ้ายหันขวาจัดการกับเรื่องของตัวเองอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์เครื่องจิ๋วก็ดังขึ้น

“สวัสดีจ้ะ มล” ทักทายเพื่อนสนิท ที่โทรมาคุยกับเธอบ่อยๆ พิชามล เป็นเพื่อนสนิทของเธอตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกันจนกระทั่งเรียนจบ แม้จะเรียนคนละคณะกันแต่เธอกับพิชามลก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอมา

“สวัสดีจ้ะ แพร” ปลายสายตอบกลับเสียหวาน

“แพร กินข้าวหรือยัง มลกับพี่วิทอยากกินอาหารญี่ปุ่นเลยโทรมาชวนแพรไปกินด้วยกันน่ะ”  ถามเพื่อนสาว แล้วหันไปมองพี่ชายสุดที่รัก ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ออกอาการลุ้นจนตัวโก่ง อยากให้อีกฝ่ายตอบตกลง

“ก็ได้จ้ะมล แพรยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวเจอกันนะ บายจ้ะ” กดวางสาย แล้วรีบแต่งตัวด้วยชุดที่สบายๆ เรียบๆ แต่ก็ยังทำให้เธอดูสวยมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่ตั้งใจ

+++++++++++++++++++++++++++++

ณ ห้างสรรพสินค้าหรูหราชื่อดังใจกลางเมือง สาวสวยใบหน้าหวานละไม ดูสวยโดดเด่นสะดุดตาด้วยชุดเดรสสั้นแขนกุด ลวดลายดอกไม้สีชมพูหวาน ตัดกับสีผิวขาวสะอาดน่าทะนุถนอม ผมที่ถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ เปิดต้นคองามระหงษ์น่าหลงใหล

“แพร ทางนี้จ้ะ” หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก จึงเห็นเพื่อนสาวที่เดินมาพร้อมกับพี่ชายของเธอ

“มล เป็นไงบ้าง คิดถึงจังเลย” เดินเข้าไปหาเพื่อนพร้อมเอ่ยทักทายด้วยความดีใจ ตั้งแต่ต่างคนต่างทำงานก็ไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันบ่อยนัก

“มลก็คิดถึงแพรเหมือนกันจ้ะ” สองสาวสวมกอดกันด้วยความดีใจ

“สวัสดีค่ะ พี่วิท” หญิงสาวยกมือไหว้พี่ชายของเพื่อน เธอมักเจอกับเขาบ่อยๆ เพราะเพื่อนสาวชอบพาพี่ชายไปไหนต่อไหนด้วยเสมอ แต่ก็ยังสงสัยว่า เฉพาะที่เพื่อนมาหาเธอหรือเปล่า ที่พี่ชายจะตามมาด้วยวิทยา ชายหนุ่มที่มีดีกรีเป็นคุณหมอใหญ่มากความสามารถของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แถมยังมีใบหน้าหล่อเหลาขาวตี๋ ผิวพรรณขาวเนียนสะอาด สวมแว่นตาดูภูมิฐาน ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็มีทั้งสาวน้อยสาวใหญ่มองกันเหลียวหลังทีเดียว

“สวัสดีครับ น้องแพร ไม่เจอกันนาน สบายดีนะครับ” ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้หญิงสาวที่เขาแอบชอบและหมายปองมานาน เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เธอยังเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกับน้องสาวแล้ว แต่เพราะไม่รู้อีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเขา เขาจึงไม่กล้าบอกความในใจออกไปสักที ก็มีแต่น้องสาวตัวแสบที่คอยเป็นสื่อและเป็นสะพานให้เสมอๆ

“ค่ะพี่วิท แพรสบายดี” ตอบพร้อมส่งยิ้มหวานละไมไปให้อย่างเป็นมิตรเช่นเดียวกัน

“นี่! จะทักทายยิ้มหวานใส่กันอีกนานมั้ยคะ มลหิวจะแย่แล้วนะเนี่ย จะไปกันได้หรือยัง” แม่สื่อสาวสวยอดหมั่นไส้พี่ชายตัวเองไม่ได้ พอเจอหน้าคนที่ชอบปุ๊บ ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่สนใจน้องนุ่งที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้เลยนะ อย่างนี้ต้องแกล้งให้เลี้ยงข้าวจนกระเป๋าฉีกซะเลยดีมั้ย

“ไปจ้ะมล แพรก็หิวแล้วเหมือนกัน” แพรวารีบเอ่ยปากเอาใจเพื่อนสาว

“งั้นแพรกับพี่วิทเข้าไปในร้านกันก่อนนะ มลขอไปเข้าห้องน้ำแปปนึง” ไม่ลืมทำหน้าที่ของตัวเอง ที่จะเปิดโอกาสให้เพื่อนรักได้อยู่กับพี่ชายของเธอตามลำพัง

“อ้าว งั้นให้แพรปะ...” กำลังจะเอ่ยขอไปเป็นเพื่อน แต่ก็ถูกตัดบทซะก่อน

“ไม่เป็นไร แพรเข้าไปสั่งอาหารกับพี่วิทเถอะ จะได้กินเร็วๆ ด้วย” พูดจบก็รีบเดินออกไปทันที

“งั้นเชิญครับน้องแพร” วิทยาส่งยิ้มให้น้องสาวเป็นการขอบใจ ที่ช่วยให้เขาได้อยู่กับคนที่เขาแอบชอบ แม้จะเพียงไม่นานก็ตาม

เมื่อเข้ามานั่งในร้านแล้ว พนักงานต้อนรับนำเมนูอาหารมายื่นให้กับลูกค้าทั้งสองคน ที่ใครต่างก็คิดว่าเป็นคู่รักกัน ฝ่ายชายก็ตี๋หล่อ ส่วนฝ่ายหญิงก็สวยหวาน ดูช่างเหมาะสมกันจริงๆ

บริเวณหน้าร้าน ก็ยังมีคู่สร้างคู่สมหนุ่มหล่อสาวสวยกำลังเดินผ่านมาอีกคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงดูสวยเปรี้ยวด้วยชุดเกาะอกรัดรูป ส่วนชายหนุ่มแม้จะสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนสบายตากับกางเกงสแลคเนื้อดีราคาแพงก็ทำให้เขาดูดีหล่อเหลาสะดุดตาละลายใจสาวๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ไม่น้อย

“ธีร์คะ เมนี่อยากกินอาหารญี่ปุ่น เรากินอาหารญี่ปุ่นร้านนี้กันนะคะ” เสียงออดอ้อน พยายามเบียดอกนุ่มนิ่มใหญ่โตให้แนบชิดลำแขนแกร่งตลอดเวลา

“อืม... ไปซิ” เขาเองก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอเมนี่หรอก เพียงแต่เขากำลังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ พอดีเจอกับเมนี่ที่มาช้อปปิ้งกับเพื่อนๆ ของเธอเข้า เธอก็เลยแยกกับเพื่อนแล้วมาเกาะติดเขาแทน เขาเองแม้จะอยู่ในอารมณ์ที่อยากอยู่คนเดียวมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธเธอได้ เพราะอย่างน้อยเธอก็คือเพื่อนของเขาคนหนึ่งที่คบกันมานาน อีกอย่าง การมีเธออยู่ข้างๆ อาจจะทำให้เขาลืมเรื่องบางเรื่องที่กำลังทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ก็ได้

ระหว่างที่กำลังเดินตรงไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่สาวข้างกายบอก สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งเปิดเมนูเพื่อสั่งอาหารอยู่ในร้านนั้น อย่างสนิทสนมเหมือนคู่รัก ฝ่ายหญิงนั้นเขาจำได้ดี เพราะเป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมาตลอดทั้งวัน ผู้หญิงคนนั้นกำลังส่งยิ้มหวานหัวร่อต่อกระซิกกับชายหนุ่มหน้าตาดีขาวตี๋ดูภูมิฐานตรงหน้า เธอช่างหน้าไม่อายจริงๆ แพรวา ‘ฮึ! ตอนเย็นกลับบ้านกับอีกคน พอตกตอนค่ำมาอี๋อ๋อกับผู้ชายอีกคน ฉันอยากจะรู้นักคนอย่างเธอมีอะไรดีให้ผู้ชายพวกนั้นหลงใหลนักหนา’ ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหัวเสีย

“ธีร์ หยุดเดินทำไมคะ” เมธินีเอ่ยถามด้วยความสงสัย ที่จู่ๆ ชายหนุ่มข้างกายก็หยุดเดินเสียดื้อๆ อย่างนั้น

“ผมว่าเราไปกินที่ร้านอื่นกันดีกว่าครับ ในนี้ผมรู้สึกว่ามันร้อนๆ พาลให้รู้สึกหงุดหงิดยังไงบอกไม่ถูก” คนอารมณ์ไม่ดีเริ่มไม่สบอารมณ์

“งั้นเราไปทานข้างนอกก็ได้ค่ะ แต่คืนนี้ธีร์ต้องพาเมนี่ไปฟังเพลงด้วยนะคะ” ต่อรองอย่างได้ใจ เพราะไม่เคยสักครั้งที่ผู้ชายคนนี้จะขัดใจเธอ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอหลงรักได้อย่างไร เธอมั่นใจว่าธีรพัฒน์ต้องมีใจให้เธอไม่น้อยกว่าที่เธอมีให้เขาแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่คบกันยาวนานขนาดนี้หรอก ธีรพัฒน์เป็นคนขี้เบื่อ คบใครไม่นาน โดยเฉพาะผู้หญิง ดินเนอร์กันครั้งสองครั้งพอฝ่ายหญิงเริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของเขา เขาจะสลัดทิ้งให้พ้นตัวทันที แต่ไม่ใช่กับเธอ ดังนั้นเธอจึงมั่นใจได้ว่า สำหรับธีรพัฒน์แล้วเธอคือตัวจริงของเขา

No comments:

Post a Comment