Wednesday, July 18, 2018

ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ ตอนที่ 3 วิวาห์ไร้รัก

ตอนที่ 3 วิวาห์ไร้รัก



                เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หลังจากวิทยาได้ตอบตกลงจะแต่งงานกับหญิงสาวที่มารดาเลือกให้ ในวันนั้นเขาลืมถามไปเสียสนิทว่ากำหนดการแต่งงานคือวันไหน และแม้แต่เจ้าสาวของเขาชื่ออะไร เขาก็ไม่ได้สนใจจะถามเลยด้วยซ้ำ

ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาสนใจแต่งานประจำของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ และถ้าหากมีเวลาว่างเขาก็มักจะเข้าไปขอตรวจดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลเปิดใหม่ที่ตอนนี้เขาเป็นหุ้นส่วนอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งได้รับมาจากมารดา แม้จะได้พบเจอและพูดคุยกับว่าที่พ่อตาบ่อยครั้ง แต่เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดหรือถามถึงบุตรสาวของท่านด้วยส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขา การที่เขายอมแต่งงานด้วยก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

วันนี้เป็นวันแต่งงานของเขาซึ่งเขาคิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อมาคิดดูอีกทีไม่ว่าจะเร็วหรือช้าเขาก็ต้องแต่งอยู่ดี เพราะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังรู้สึกเช่นเดิมก็คือ แค่ทำหน้าที่ของตัวเองตามข้อตกลงให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น

“วิท... มาแล้วหรือลูก แม่คิดว่าลูกจะเบี้ยวซะแล้ว ดูสิ เมื่อคืนแทนที่จะนอนบ้าน” คุณนายกมลวรรณที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีสวย ร้องเรียกบุตรชายด้วยความดีใจเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้าน พลางต่อว่าเล็กๆ เมื่อคนเป็นลูกทำอะไรไม่ถูกใจ

“ผมทำงานดึกไปหน่อยก็เลยนอนที่คอนโดน่ะครับ” วิทยาบอกมารดาเสียงเรียบ ใบหน้าหล่อเหลาบ่งบอกถึงความอ่อนล้าเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นกับการแต่งงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในเช้านี้หรอกนะ แต่เพราะเขาเร่งมือทำงานต่างๆ เพื่อเคลียร์ตัวเองให้มีเวลาว่างพอที่จะไปดูแลงานโรงพยาบาลที่เปิดใหม่ของเขาได้

“ไปๆ รีบอาบน้ำแต่งตัวเลยนะลูก แม่เตรียมชุดไว้ให้แล้ว” คนเป็นแม่รีบคะยั้นคะยอดันตัวบุตรชายให้ขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะใกล้ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางไปบ้านเจ้าสาวแล้ว ซึ่งฝ่ายนายแพทย์สินชัยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานพิธีในตอนเช้าที่บ้านเรือนไทยของเขา

“ครับคุณแม่” ชายหนุ่มรับคำก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อจัดการกับตัวเองตามที่มารดาได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ แม้แต่ชุดที่เขาจะต้องใส่ เขาเองก็ไม่ได้เป็นคนเลือก เขามีส่วนร่วมในการเตรียมงานของตัวเองเพียงแค่ตอนที่ช่างมาวัดสัดส่วนของเขาไปเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดเป็นหน้าที่ของมารดาทั้งสิ้น

สถานที่ประกอบพิธีมงคลสมรสในตอนเช้านั้น นายแพทย์สินชัยและคุณนายมณีนุชยินดีเปิดบ้านเรือนไทยไม้สักทองที่เรื่องลือถึงความงดงามและคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างหาที่ติไม่ได้ สำหรับประกอบพิธีแบบไทยๆ ซึ่งภายในบริเวณบ้านถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามอบอวลไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของความเป็นไทยอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มคลึ้มสบายตา ต้อนรับแขกเหรื่อคนสำคัญและญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นสักขีพยานกันอย่างเนืองแน่น

อรณิชาอยู่ในชุดเจ้าสาวแบบไทยดุสิตเปิดไหล่สีเหลืองทองอร่ามขับกับผิวขาวนวลเนียนทำให้เธอดูสง่าและงดงามราวกับเทพธิดาในวรรณคดีไทย ผมที่ยาวสลวยถูกเกล้าไว้เป็นทรงเรียบร้อยปักด้วยปิ่นรูปดอกไม้สีทองรับกับใบหน้าสวยให้ยิ่งหวานล้ำมากยิ่งขึ้น

“อร... หนูไม่เป็นไรใช่ไหมลูก” คุณนายมณีนุชเอ่ยถาม พลางลูบที่ไหล่บอบบางของบุตรสาวเบาๆ อย่างปลอบโยน

“คุณแม่...” อรณิชาเรียกมารดาเสียงแผ่วหันมองสบตาท่านด้วยแววตาเศร้าหมอง

“อร ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกว่ามันเร็วเกินไปเท่านั้นเอง”

“หืม... ตื่นเต้นหรือเปล่าลูก ดูสิ มือเย็นเฉียบเชียว” คนเป็นแม่จับมือลูกสาวมากุมไว้เพื่อให้ไออุ่น

“คุณแม่ขา... อรเปลี่ยนใจได้ไหมคะ” ใบหน้าสวยที่ดูหม่นหมองประกอบกับน้ำเสียงสั่นเครือของบุตรสาวทำให้คนเป็นแม่รู้สึกสงสารจับใจ

“หนูอร... โถ่... ไม่ได้แล้วลูก มาถึงขนาดนี้แล้ว” แม้รู้ว่าต้องฝืนใจแต่นางเองก็ไม่รู้จะช่วยบุตรสาวยังไงดี ในเมื่อทั้งหมดเป็นคำสั่งของผู้เป็นสามีที่ชี้ขาดลิขิตรักให้กับบุตรสาวในครั้งนี้

ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้สองแม่ลูกรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแม้จะต้องกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไปก้อนใหญ่ก็ตาม

“สวัสดีค่ะคุณแม่” กรรณิการ์ยกมือไหว้มารดาของเพื่อนรักอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองคน

“สวัสดีลูก... หนูก้อย แม่ฝากหนูอรหน่อยนะ แล้วแม่จะให้เด็กมาเรียกเมื่อถึงเวลา” คุณนายมณีนุชรับไหว้เด็กสาวที่เป็นเพื่อนสนิทของบุตรสาว พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้เหมือนเคย

“ค่ะคุณแม่ ไม่ต้องห่วงค่ะ ก้อยจะดูแลอรให้เอง” คนมาใหม่ยิ้มกว้างตอบรับคำฝากฝังด้วยความยินดี

“ขอบใจมากจ้ะ” คุณนายมณีนุชยิ้มตอบอย่างพอใจ ก่อนจะหันไปบอกบุตรสาว

“แม่ไปก่อนนะลูก” มืออวบอิ่มของคนเป็นแม่บีบเบาๆ ที่ข้อมือเล็กของลูกสาวเพื่อให้กำลังใจ และเมื่อได้รับรอยยิ้มน้อยๆ กลับมา นางจึงเดินออกไปจากห้องเพื่อไปเตรียมการต้อนรับแขกสำคัญที่กำลังเดินทางมา

“อร... วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่ก้อยเคยเห็นมาเลยนะ สวยอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์แน่ะ” กรรณิการ์กระโดดเข้าคว้ามือบางของเพื่อนสาวมาจับไว้ด้วยความชื่นชมจากหัวใจ วันนี้เพื่อนของเธอสวยมาก สวยจนเธออยากจะหยิบดินสอขึ้นมาขีดเขียนภาพของหญิงสาวตรงหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ซึ่งจัดว่าเป็นศิลปะชิ้นเอกที่เลิศล้ำจนหาที่ติไม่ได้

“ก้อย... อรไม่อยากแต่งเลย” อรณิชาบอกเพื่อนรักตามความเป็นจริงจากก้นบึ้งของหัวใจกับความรู้สึกที่มี

“เฮ้อ... ก้อยเข้าใจอรนะ แต่ในเมื่อเราตัดสินใจแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป อรทำเพื่อคุณพ่อไม่ใช่หรือจ้ะ”

คนเป็นเพื่อนพยายามปลุกปลอบเจ้าสาวด้วยความเห็นใจ เธอเองก็ตกใจไม่น้อยในวันที่รู้ว่าเพื่อนรักจะแต่งงานแบบสายฟ้าแลบขนาดนี้ แถมเจ้าบ่าวยังเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักหรือคบหากันมาก่อนอีกด้วย นั่นเท่ากับว่า เพื่อนของเธอโดนจับคลุมถุงชนเหมือนที่ผู้ใหญ่สมัยโบราณเขาทำกัน แม้เธอจะไม่เห็นด้วยกับความคิดแบบนี้ แต่อีกใจก็คิดว่านายแพทย์สินชัยพ่อของอรณิชานั้นรักลูกสาวคนนี้ขนาดไหน การที่ท่านเลือกคู่ครองให้นั่นแสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นคนดีและเป็นคนที่ท่านไว้ใจอย่างแน่นอน

“ใช่... อรทำเพื่อคุณพ่อ... อรจะพยายามอดทนไว้” คนเป็นเจ้าสาวหันมาบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอย่างตัดสินใจ ทั้งหมดที่เธอทำไปหลังจากนี้ก็เพื่อคุณพ่อคุณแม่ของเธอเท่านั้น และเมื่อหมดสัญญาสองปีที่ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ เธอก็จะเป็นอิสระอย่างที่ใจต้องการ

“ก้อยเป็นกำลังใจให้อรเสมอนะ” กรรณิการ์ยิ้มหวานให้เพื่อนรักเพื่อยืนยันคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ

“ขอบใจนะก้อย ก้อยเป็นเพื่อนที่อรรักมากที่สุด แล้วก็... เอ่อ... นนท์ด้วย” อรณิชาบอกเพื่อนสาวก่อนที่น้ำเสียงจะเศร้าลงเมื่อเอ่ยถึงแฟนหนุ่ม

“ก้อยว่าวันนี้นนท์จะมาหรือเปล่า” คนเป็นเจ้าสาวถามออกไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงในความรู้สึกของแฟนหนุ่มไม่น้อย วันที่เธอบอกกับเขาว่าเธอต้องแต่งงานกับคนที่บิดาเลือกให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปนานจนเธอใจหาย และเธอก็อธิบายถึงข้อผูกมัดต่างๆ นาๆ ให้อีกฝ่ายได้ฟัง จนได้รับคำตอบจากเขาว่า ‘นนท์จะรอ รอจนกว่าอรได้เป็นอิสระแล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป’

“เอ่อ... ก่อนเข้ามาหาอร ก้อยลองโทรไปถามแล้ว นนท์เขาบอกว่าเช้านี้ไม่ว่างน่ะจ้ะ แต่จะไปร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น” กรรณิการ์อึกอักตอบเพื่อนรักออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยรู้ดีว่าสถานการณ์ของคนทั้งสองนั้นเป็นอย่างไร แม้เธอจะไม่อาจปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้วเธอก็ดีใจไม่น้อยที่เพื่อนสาวแต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรักมานาน แต่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่เคยมองเธอในความรู้สึกอื่นที่นอกเหนือไปกว่าคำว่าเพื่อนเลยสักนิด

“ก้อย... นนท์เป็นยังไงบ้าง”

“ก็... เอ่อ... ก็ดีขึ้นนะ ตอนโทรไปน้ำเสียงก็ดูปกติดี อาจจะทำใจได้บ้างแล้วมั้ง” หารู้ไม่ว่าฝ่ายนั้นร้องไห้ฟูมฟายจนแทบคลั่ง ตอนที่เธอโทรไปเขายังเมามายจนพูดไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะไม่อยากให้คนเป็นเจ้าสาวต้องกังวลและรู้สึกผิดเธอจึงจำเป็นต้องโกหกไป

เสียงโห่ร้องของขบวนขันหมากที่ดังกึกก้องมาแต่ไกล ทำให้สองสาวหันมามองหน้ากันทันทีด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน คนเป็นเจ้าสาวนิ่งงันและเศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคนเป็นเพื่อนนั้นมีอาการตื่นเต้นจนแทบปิดไม่มิดเพราะเธอเองก็อยากเห็นหน้าตาของเจ้าบ่าวตัวจริงสักที จากที่เคยถามใครต่อใครก็บอกว่าหมอหนุ่มนั้นทั้งหล่อเหลาขาวตี๋ อบอุ่นแสนดี และนุ่มนวลตามแบบฉบับคุณชายในวัง แถมยังเจ้าเสน่ห์ไม่เป็นรองใครทั้งบรรดาคนไข้สาวน้อยสาวใหญ่จนไปถึงแพทย์หญิงและพยาบาลต่างก็หลงใหลได้ปลื้มกันนักหนา

“อร มาสิ... ไม่แอบดูหน้าเจ้าบ่าวหน่อยเหรอ ใกล้จะถึงเรือนแล้วนะ” กรรณิการ์ละล่ำละลักเรียกเพื่อนด้วยความตื่นเต้นเหมือนเธอเป็นเจ้าสาวเสียเอง พลางชะเง้อชะแง้อยู่ที่หน้าต่างเพื่อแอบมองขบวนขันหมากที่กำลังใกล้เข้ามา

“ไม่น่ะ อรไม่อยากเห็น ไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำ” คนเป็นเจ้าสาวหันหลังเดินไปนั่งบนเตียงกว้างอย่างเศร้าใจ

“ว๊าว! นี่น่ะเหรอ นายแพทย์วิทยา เดชาวัฒนสกุล หล่อเหลาสมคำล่ำลือจริงๆ ด้วย” คนแอบดูเจ้าบ่าวของเพื่อนรัก อุทานออกมาอย่างสมใจ ก่อนจะหันไปชักชวนเจ้าสาวให้มาดูด้วยกันอีกครั้ง

“อรมาดูสิ” คนเป็นเพื่อนไม่วายคะยั้นคะยอพร้อมกับกวักมือเรียก

“ไม่ง่ะ เดี๋ยวตอนออกไปก็ได้เห็นอยู่ดี” แม้คำบรรยายของเพื่อนสาวจะกระตุกหัวใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอรู้สึกยินดีอะไรมากนัก ตอนแรกที่ตอบตกลงกับบิดาไปนั้น เธอภาวนาขอแค่เจ้าบ่าวที่เธอจะแต่งงานด้วยไม่พิการหรือหน้าตาบูดเบี้ยวจนดูไม่ได้ก็พอ ไม่ได้หวังให้เขาเลิศเลอเพอร์เฟคอย่างที่เพื่อนรักของเธอบอกตอนนี้เลยสักนิด

ขบวนขันหมากที่ยาวจนสุดสายตาด้วยข้าวของอันเป็นมงคลตามแบบฉบับต้นตำรับของไทย ที่คัดสรรมาอย่างดี ค่อยๆ ถูกลำเลียงขึ้นมาบนเรือนจนแน่นขนัด ท่ามกลางความปลื้มปิติยินดีของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย

คุณนายกมลวรรณและคุณหญิงเพ็ญพักตร์เดินนำหน้าขบวนขันหมากมาพร้อมกับเจ้าบ่าว ที่วันนี้ดูหล่อเหลาสง่างามสมกับเป็นชายไทยที่สมบูรณ์แบบที่สุดด้วยชุดเสื้อพระราชทานผ้าไหมสีเหลืองทองสวมกับโจงกระเบนลายไทยสีทองเข้มที่ทำให้เขายิ่งดูหล่อเนี๊ยบเหมือนดั่งคุณชายในวังหลวง ประกอบกับใบหน้าคมคายนั้นขาวหมดจดสะอาดตาเปรียบดั่งเทพบุตรก็ไม่ปาน ตลอดทางที่ชายหนุ่มเดินเข้ามามีเสียงอื้ออึงจากแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีกล่าวชื่นชมในตัวเจ้าบ่าวดังแววมาเป็นระยะไม่ขาดช่วงเลยทีเดียว

เมื่อผ่านด่านประตูเงินประตูทองตามประเพณีขึ้นมาบนเรือนในบริเวณรับรองเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างทำความเคารพซึ่งกันและกันพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขและยินดี ก่อนที่เจ้าภาพจะเชิญฝ่ายเจ้าบ่าวให้นั่งลงยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้

“หมอวิท...” ทินกรสะกิดที่แขนเจ้าบ่าวเบาๆ เพื่อเรียกสติ เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งงันไปนานไม่ยอมเดินเข้าไปนั่งยังที่ของตนที่ผู้ใหญ่นั่งรออยู่ เขาสังเกตว่าเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์เป็นพี่เขยของเขาคนนี้ ดูเหม่อลอยและมีใบหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แม้เจ้าตัวจะพยายามยิ้มออกมาก็ตาม

“ครับ... เอ่อ... ขอบคุณครับ” วิทยาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อคิดว่าตัวเองมัวแต่มองบรรยากาศรอบตัวจนลืมหน้าที่ พร้อมกับหันไปขอบคุณคนเป็นน้องเขยที่ช่วยเตือนสติ ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงแล้วคลานเข่าเข้าไปนั่งกับพื้นตรงหน้าผู้ใหญ่ ตามหลังมาด้วยพิชามลน้องสาวที่คุกเข่าตามเข้ามาพร้อมกับสามีและลูกสาวตัวน้อย ถัดไปเป็นแพรวากับธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวจ้ำม่ำตามเข้ามานั่งด้วยเป็นคนสุดท้าย

“ให้ใครไปตามเจ้าสาวออกมาได้แล้วจ้ะ” คุณนายมณีนุชหันไปบอกสาวใช้ในบ้านที่นั่งรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ๆ

ทันทีที่ได้ยินคำเอ่ยขานของผู้เป็นแม่ฝ่ายหญิง หัวใจดวงแกร่งของวิทยาที่สงบนิ่งมานานกลับเต้นโครมครามขึ้นมาอย่างประหลาด ท่ามกลางความแปลกใจของตัวเองยิ่งนัก ทำไมเขาต้องตื่นเต้นขนาดนี้ด้วยนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้สึกอะไรเลย

รอเพียงไม่นานเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ไปด้วยความตื่นตาตื่นใจและชื่นชมยินดีก็ดังขึ้น พร้อมทั้งเสียงชัตเตอร์ที่ถี่รัวจนแทบไม่ต้องนับ ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะหันไปมองทางต้นเหตุของเสียงนั้นไม่ได้ และทันทีที่เขาพบเธอ หัวใจดวงแกร่งถึงกับกระตุกวาบด้วยความตกตะลึง เขายอมรับว่าหญิงสาวร่างบางระหงที่กำลังเยื้องย่างเข้ามาหาเขาด้วยท่วงท่าที่สง่างามและนุ่มนวลนั้น ‘สวย’ เป็นคำแรกที่ผุดขึ้นมาในความรู้สึกของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนที่ตอบตกลงไปนั้นเขาคิดว่าผู้หญิงที่จะแต่งงานด้วยคงจะขี้เหร่จนไม่มีใครเอาแล้วแน่ๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่า หาสามีไม่ได้แล้วนั่นเอง บิดาของเธอถึงคิดจะคลุมถุงชน แต่เมื่อได้มาเจอตัวจริงแล้ว เขายอมรับว่าเธอไม่มีส่วนใดจะเป็นอย่างที่เขาคิดเลยแม้แต่น้อย

อรณิชาคุกเข่าลงกับพื้นข้างกายของคนเป็นเจ้าบ่าว ก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่เคารพทุกคน จนมาถึงเจ้าบ่าวที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคู่คมของเขา เธอยอมรับทันทีว่าเขาเป็นเหมือนอย่างที่ได้ยินได้ฟังจากเพื่อนรักของเธอมาทุกประการ เพียงแค่มองหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน แม้แต่นนท์ประวิธแฟนหนุ่มของเธอ

“หนูอร ไหว้พี่เขาสิลูก” คนเป็นแม่เอ่ยเตือนบุตรสาวเมื่อเห็นเธอนั่งก้มหน้านิ่งๆ ไม่ยอมมองหน้าเจ้าบ่าว
คำบอกของมารดาทำให้อรณิชาจำต้องเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกมือไหว้เจ้าบ่าวของเธออย่างอ่อนหวาน ฝ่ายเจ้าบ่าวที่เตรียมตั้งรับอยู่ก่อนแล้วก็ยกมือขึ้นรับไหว้เจ้าสาวอย่างนุ่มนวลเช่นเดียวกัน ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าขาวเนียนของหญิงสาวนิ่งเหมือนต้องมนต์สะกด เมื่อได้เห็นเธอใกล้ๆ ความสวยและงดงามของเธอทำให้หัวใจดวงแกร่งที่คิดว่าจะไม่มีวันหวั่นไหวให้กับผู้หญิงคนไหนอีกกลับสั่นคลอนขึ้นมาอย่างประหลาด

ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลานั้นเขาเกือบจะหลุดยิ้มออกไปตามความรู้สึก แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าจุดประสงค์ที่หญิงสาวแต่งงานกับเขานั้นยังคลุมเครือ เธอตั้งใจเจาะจงอยากแต่งงานกับเขาหรือเพราะถูกบังคับฝืนใจเหมือนกับเขากันแน่ ทำให้ชายหนุ่มซ่อนรอยยิ้มนั้นไว้จนมิดเหลือเพียงความเย็นชาเฉยเมยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

‘ฮึ หยิ่งชะมัด นึกว่าฉันอยากจะไหว้นักเหรอ หน้าตาก็ดีแต่มารยาทไม่ได้เรื่อง’ อรณิชาคิดในใจก่อนจะลดมือลงเมื่อชายหนุ่มรับไหว้เธอแล้ว

หลังจากนั้นพิธีการสำคัญก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้นและผ่านไปด้วยดีแล้ว แขกที่มาร่วมเป็นสักขีพยานต่างก็ทยอยแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงฉลองในตอนเย็นที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ณ โรงแรมหรูระดับห้าดาวใจกลางเมือง

บรรยากาศงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสระหว่างเจ้าบ่าวนายแพทย์หนุ่มใหญ่ขวัญใจสาวๆ กับเจ้าสาวมัณฑนากรแสนสวย ได้รับเกียรติจากแขกผู้ใหญ่ที่มีชื่อเสียงในวงการแพทย์ทั้งของพ่อตาและลูกเขย ตลอดจนญาติมิตรเพื่อนพ้องต่างยกขบวนมาร่วมแสดงความยินดีกันคับคั่ง

เจ้าบ่าวยืนอยู่ในชุดทักสิโด้สีขาวสะอาดตาเคียงข้างด้วยเจ้าสาวที่สวมชุดราตรียาวเกาะอกฟูฟ่องด้วยผ้าใยแก้วและประดับประดาด้วยลูกไม้รอบตัว หลังจากทั้งคู่ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจกันไปแล้วในตอนเช้ากับความเหมาะสมที่เปรียบเสมือนกิ่งทองใบหยกที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง ตกเย็นทั้งคู่ก็ยังสร้างความประทับใจให้กับแขกที่มาในงานได้ไม่น้อย ด้วยความสง่าและงดงามของคู่บ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่บริเวณซุ้มดอกไม้หน้าห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม

ทั้งสองยืนห่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขน ประกอบกับต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า ทำให้คนเป็นแม่ของทั้งสองฝ่ายต้องออกมาเตือน

“วิท ยืนใกล้ๆ น้องหน่อยสิลูก” คุณนายกมลวรรณเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับบอกลูกชายเสียงเข้มแกมบังคับ

“เอ่อ... ครับคุณแม่” วิทยารับคำมารดาก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หญิงสาว ซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร เพราะเมื่อเขาขยับไปใกล้ เธอกลับยิ่งขยับห่างออกไปอีก ‘จะเล่นตัวอะไรนักหนาแม่คุณ... นึกว่าอยากจะเข้าใกล้นักหรือไง เหอะ!’ หมอหนุ่มบ่นในใจอย่างนึกฉุนกับท่าทางของคนเป็นเจ้าสาว

“หนูอรจับแขนพี่เขาไว้แบบนี้นะลูก จะได้ไม่ดูห่างเหินจนเกินไป” คุณนายมณีนุชเดินไปจับมือบางของบุตรสาวมาสอดไว้ที่แขนของคนเป็นเจ้าบ่าวพร้อมทั้งกำชับด้วยสายตาและคำพูด

“คุณแม่ขา...” อรณิชาทำท่าจะคัดค้านเพราะเธอไม่อยากทำอย่างที่มารดาต้องการเลยสักนิด

“นะ แม่ขอร้อง อีกไม่กี่ชั่วโมงนะลูก อดทนหน่อย” เมื่อรู้ว่าลูกสาวจะพูดอะไรคนเป็นแม่จึงรีบดักคอ เพราะยังไงตอนนี้ต้องรักษามารยาทของหน้าตาและชื่อเสียงทางสังคมเอาไว้ก่อน

เมื่อจัดการกับบุตรชายและบุตรสาวของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนเป็นแม่ก็กลับเข้าไปในงานเพื่อต้อนรับพูดคุยกับแขกผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ทยอยเดินทางมาจนเกือบจะเต็มห้องจัดเลี้ยงแล้ว

บ่าวสาวยืนกระฟัดกระเฟียดใส่กันอยู่เพียงครู่ ก่อนที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นคนสะบัดแขนเพื่อให้มือบางของคนเป็นเจ้าสาวหลุดออกไป และเมื่อเธอกำลังมองการกระทำของเขาด้วยความมึนงงอยู่นั้น เธอก็ได้รับความกระจ่างขึ้นเมื่อเห็นผู้หญิงสวยหวานคนหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามา

“น้องแพร...” น้ำเสียงหวานนุ่มของเจ้าบ่าวข้างกายทำให้เธอเข้าใจได้ทันทีว่าหญิงสาวที่เดินเข้ามานั้นต้องมีความสำคัญกับเขามากแน่ๆ

“ยินดีด้วยนะคะพี่วิท พอดีเมื่อเช้ายุ่งๆ แพรก็เลยยังไม่ได้อวยพร” แพรวายิ้มหวานให้พี่ชายแสนดีของเธอและเผื่อแพร่ไปถึงเจ้าสาวของเขาด้วย วันนี้เขาดูหล่อเหลากว่าทุกวัน ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้นช่างสวยงดงามไม่มีที่ติเลยจริงๆ

“ขอบคุณครับ” หมอหนุ่มทำท่าจะเข้าไปจับมือของหญิงสาวตรงหน้า แต่สามีของเธอที่ยืนเคียงข้างนั้นรีบยื่นมือออกมาสัมผัสกับมือของเขาเสียก่อน

“ผมขอให้คุณมีความสุขนะครับหมอวิท เจ้าสาวของคุณสวยมาก” ธีรพัฒน์ที่อุ้มลูกชายตัวน้อยเอาไว้ในอกแกร่ง กล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจ พลางบีบมือนั้นให้แน่นขึ้นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะล้ำเส้น

“ครับ... ขอบคุณครับ” คนเป็นเจ้าบ่าวกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือลงข้างตัวเหมือนคนสิ้นหวัง เมื่อกี้เขาลืมตัวเกือบเผลอไปจับมือหญิงสาวที่เป็นคนต้องห้ามสำหรับเขาไปแล้วต่อหน้าต่อตาสามีของเธอและเจ้าสาวของเขา

“นายกรกับน้องมลอยู่ข้างในใช่ไหมครับ” ธีรพัฒน์ถามขึ้นเมื่อต้องการไปจากตรงนี้ก่อนที่เขาจะหมดความอดทน

“ครับ อยู่ข้างใน เชิญครับ” วิทยาตอบพลางส่งยิ้มให้กับชายหนุ่มและหญิงสาวตรงหน้า นั่นเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจเป็นครั้งแรกตลอดงานแต่งงานของเขา และแน่นอนว่าคนเป็นเจ้าสาวก็เพิ่งได้เห็นด้วยเหมือนกัน เพราะตลอดเวลาเขาไม่เคยมองหญิงสาวข้างกายหรือแม้แต่จะยิ้มให้ใครแบบนี้เลยสักครั้ง ‘ฮึ หลงรักเมียชาวบ้านเขาล่ะสิท่า อีตาคุณหมอขี้เก๊กเอ้ย... ก็เพราะทั้งหยิ่งทั้งเย็นชาแบบนี้ไงล่ะ ผู้หญิงเขาถึงไม่ชอบ’ อรณิชาแอบเยอะเย้ยชายหนุ่มในใจ ก่อนจะหันไปเห็นคนเป็นแม่ที่ส่งสายตาดุๆ มาให้และชี้นิ้วมาที่มือของเธอ เธอจึงรีบจับหมับที่ลำแขนของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที

“ไม่ได้อยากจะจับนักหรอก โน่น... คุณแม่ท่านยืนมองตาเขียวปัดอยู่นั่น” อรณิชาหันมาแหวเสียงเขียวเมื่อเจ้าของลำแขนที่เธอจับอยู่นั้นก้มลงมามองที่มือของเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ จะจับก็จับไปสิ หน้าที่ของคุณไม่ใช่หน้าที่ผม” วิทยาตอบกลับอย่างนึกหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนไม่เต็มใจจนชัดเจนขนาดนั้น

“เก็บอาการหน่อยก็ดีนะคุณ ทำตัวอย่างกับเด็กถูกขัดใจ” คนเป็นเจ้าบ่าวพูดขึ้นมาลอยๆ ส่งผลให้เจ้าสาวที่ถูกกล่าวหาว่าทำตัวเหมือนเด็กหันมามองตาขวางอย่างเอาเรื่อง

“ฉัน ไม่ ใช่ เด็ก” หญิงสาวย้ำทีละคำชัดๆ พร้อมกับจิกเล็บลงไปที่แขนของชายหนุ่มทันที จนอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆ ด้วยรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขน ก่อนที่ทั้งสองจะตั้งแง่กันมากกว่านี้แขกคนสำคัญของเจ้าสาวก็ปรากฎตัวขึ้น

“ก้อย นนท์ ทำไมมาช้าจัง” อรณิชาเรียกชื่อเพื่อนสาวที่เดินมาพร้อมกับแฟนหนุ่มของเธอด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแกมน้อยใจเล็กๆ ที่ทั้งสองมาช้าจนเธอรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มที่ไม่รู้จัก มือบางของเธอรีบดึงออกมาจากลำแขนของคนเป็นเจ้าบ่าวทันที ก่อนจะยื่นไปจับมือของเพื่อนสาวที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า

“ก้อยรอนนท์น่ะจ้ะอร ว่าจะมาพร้อมกัน” กรรณิการ์ตอบเพื่อนรักพร้อมกับส่งยิ้มเผื่อแพร่ไปถึงเจ้าบ่าวของเพื่อนด้วยเช่นกัน

“ก้อยขอให้อรมีความสุขนะ วันนี้อรเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดและโชคดีที่สุดเลยรู้ตัวหรือเปล่า” คนเป็นเพื่อนกล่าวอวยพรและชื่นชมจากใจจริง

“ไม่เห็นจะโชคดีเลย...” คนเป็นเจ้าสาวพึมพำเบาๆ ก่อนจะหันไปหาแฟนหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักของเธออีกคน

“นนท์...” อรณิชาเรียกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาเสียใจ

“นนท์ยังยืนยันคำเดิมนะ นนท์ไม่ขอให้อรมีความสุข แต่นนท์ขอให้อรไม่ลืมสัญญาและกลับมาหานนท์เร็วๆ ก็พอ” นนท์ประวิธสบตาหญิงสาวด้วยความรู้สึกปวดร้าว ตัดพ้อและน้อยใจ ชายหนุ่มยื่นม้วนกระดาษสีขาวที่ผูกโบว์สีชมพูสวยให้กับเธอ และหันไปจ้องหน้าคนเป็นเจ้าบ่าวด้วยดวงตาวาวโรจน์ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนสาวอีกคนที่มากับเขา

“เดี๋ยวก่อน! นนท์... นนท์” กรรณิการ์ตะโกนเรียกเพื่อนชายที่เธอแอบรัก เมื่อเห็นเขาไม่หันกลับมาทำให้เธอรังเรระหว่างจะวิ่งตามเขาไป หรือเดินเข้าไปในงานเพื่อร่วมงานเลี้ยงดี

“ไปเถอะก้อย... อรฝากนนท์ด้วยนะ” อรณิชาบอกเพื่อนสาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตัดสินใจเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี

“จ้ะๆ งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก้อยจะโทรมาหานะ ขอโทษด้วยนะคะคุณหมอ” กรรณิการ์ละล่ำละลักรับคำฝากจากเพื่อนรักและหันไปขอโทษคนเป็นเจ้าบ่าวซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมา ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งตามชายหนุ่มที่ออกไปก่อนหน้านี้ให้ทัน

“ฮึ ฮึ รักสามเศร้าเราสามคน หรือจะเข้าตำราเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อกันแน่น้า...” เสียงกระแหนะกระแหนของชายหนุ่มข้างกายทำให้อรณิชาแทบควันออกหู หญิงสาวหันควับมามองหน้าเขาทันทีเหมือนนางแมวจ้องตะครุบเหยื่อ

“นี่คุณ! ถ้าไม่พูดก็คงไม่มีใครหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ” หญิงสาวกระแทกเสียงใส่ด้วยความโมโหที่ชายหนุ่มแอบฟังและวิจารณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเพื่อนๆ

“ผมก็แค่อยากแสดงทัศนคติเท่านั้น” คนพูดยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับดูน่าหมั่นไส้ในสายตาของคนมอง

“มันเรื่องของฉัน” อรณิชาสะบัดหน้าพรืดหันไปทางอื่นด้วยไม่อยากเห็นหน้าคนกวนประสาทที่ทำให้เธอยิ่งหงุดหงิดจนเกินจะทนยืนตรงนี้ได้อีก

“อย่าลืมหน้าที่สิคุณ” วิทยาปรายตามองคนข้างๆ ก่อนจะเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเธอยืนนิ่งไม่ยอมจับแขนเขาเหมือนเดิม และด้วยคำบอกนั้นทำให้เขาได้ยินเสียงจิจ๊ะในลำคอของเธอพร้อมกับมือบางจับหมับที่ลำแขนแกร่งทันทีแบบกระแทกกระทั้น

วิทยาหวนคิดไปถึงคำพูดของชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาเจ้าสาวของเขาด้วยท่วงท่าที่กรุ่นโกรธและมองเขาด้วยแววตาดุดัน ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกับเจ้าสาวของเขาจะต้องมีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อนอย่างแน่นอน ‘ฮึ ในเมื่อมีแฟนอยู่แล้วจะมาแต่งงานกับเขาทำไมกัน’ ชายหนุ่มคิดด้วยความสงสัย พลันหัวใจดวงแกร่งกลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อคิดว่าเธอที่เป็นเจ้าสาวของเขานั้นมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว

ทั้งสองยืนอยู่อีกไม่นานผู้มีหน้าที่จัดพิธีการก็เดินมาเรียกคู่บ่าวสาวให้เข้าไปเตรียมตัวที่จะขึ้นเวทีเพื่อกล่าวขอบคุณแขก พร้อมทั้งกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป

เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ บนเวทีแล้ว สองบ่าวสาวก็ลงมาพบปะพูดคุยกับแขกภายในงานเพียงครู่ก็ถึงเวลาเข้าหอตามฤกษ์ที่เหมาะสม โดยทั้งสองฝ่ายต่างลงความเห็นว่าให้ใช้ห้องสวีตบนโรงแรมแห่งนี้เป็นเรือนหอชั่วคราวเพื่อส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวในคำคืนแรกของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเข้ามาส่งตัวบุตรชายและบุตรสาวของตนและกล่าวคำอวยพรพร้อมทั้งแนะนำความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตคู่ รวมไปถึงการฝากฝังให้ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันด้วย จากนั้นทั้งหมดก็ออกไปเพื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ปล่อยให้คู่บ่าวสาวได้มีเวลาส่วนตัวตามลำพัง

“คุณแต่งงานกับผมเพราะอะไร” จู่ๆ คนเป็นเจ้าบ่าวก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมภายในห้องนานเกือบสิบนาทีหลังจากพวกผู้ใหญ่กลับออกไปแล้ว เขาอยากรู้ว่าเธอแต่งงานกับเขาเพราะตั้งใจหรือถูกบังคับมากันแน่ แม่เจ้าประคุณถึงทำหน้าทำตาอย่างกับถูกส่งเข้าโรงเชือด

“ฉันไม่มีทางเลือก” คนเป็นเจ้าสาวตอบน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อเห็นเขาลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนที่ประตูกระจกหลังห้อง เธอจึงลุกขึ้นตามแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงมุมข้างเตียง

“ไม่มีได้ยังไง ก็ไอ้หน้าหล่อที่มายืนทำท่าเจ็บปวดอยู่ตรงหน้าคุณเมื่อตอนค่ำนั่นไง” วิทยาหันมามองหน้าเธอแวบเดียว ก่อนจะหันกลับไปมองทิวทัศน์ด้านนอกต่อไป

“ถ้าฉันเลือกเขาแล้วคุณพ่อท่านยอมรับ ฉันก็คงไม่ต้องมาแต่งงานกับคุณหรอกค่ะ” อรณิชาพูดฉะฉานยืดหลังตรงเพื่อบ่งบอกว่าเธอก็มีศักดิ์ศรี และไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอจะแต่งงานกับเขา

“แสดงว่าพ่อคุณไม่ชอบไอ้หมอนั่น ก็เลยยัดเยียดคุณให้แต่งงานกับผมเพื่อตัดปัญหางั้นสิ” คนที่ยืนชมวิวอยู่หลังห้องหันหน้ามาเผชิญกับหญิงสาวที่เขาพูดด้วย

“เรื่องนั้นฉันไม่ทราบ แต่สาเหตุที่ทำให้ฉันตัดสินใจยอมแต่งงานกับคุณ ก็เพราะคำสัญญาที่คุณพ่อท่านให้ไว้กับคุณแม่ของคุณ ฉันไม่อยากให้ท่านเป็นคนไม่รักษาคำพูด”

“งั้นเราก็มีเหตุผลเดียวกัน” หมอหนุ่มบอกเสียงเรียบ พลางถอดเสื้อสูทออกจากตัวแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่ให้คนเอาขึ้นมาไว้ให้

“อะไรคะ” อรณิชาย้อนถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มบอก ขณะนั่งมองการกระทำของเขาที่หยิบนั่นหยิบนี่ออกมาจากตู้เสื้อผ้าที่เธออดสงสัยไม่ได้ว่าเขานำไปยัดไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

“ก็เราแต่งงานกันเพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่ที่ตกลงกันไว้... โดยที่เราสองคนไม่ได้เต็มใจยังไงล่ะ” วิทยาหอบเสื้อผ้าข้าวของที่จำเป็นต้องใช้ออกมาถือไว้ เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบเขาก็เดินหายวับเข้าไปในห้องน้ำฝั่งตรงข้ามกับตู้เสื้อผ้าทันที ‘ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจที่เธอแต่งงานกับเขาเพราะถูกบังคับนะ แต่ถ้าเธอตอบว่าแต่งงานกับเขาด้วยความเต็มใจล่ะ เขาจะรู้สึกดีกว่านี้หรือเปล่า’ หมอหนุ่มคิดสับสนในใจก่อนจะหันไปทำธุระส่วนตัวของตัวเองต่อ

อรณิชานั่งตัวแข็งทื่อเมื่อชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว นั่นแสดงว่าเขาคงกำลังอาบน้ำอยู่ แค่คิดหัวใจดวงน้อยก็สั่นระรัวขึ้นมาดื้อๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนั่งอยู่ในห้องที่มีชายหนุ่มกำลังอาบน้ำ เมื่อคิดว่าเขาจะต้องออกมาในสภาพล่อแหลมเหมือนพระเอกในละครทีวีที่เธอเคยดู จู่ๆ ใบหน้าหวานก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนใสของตัวเองเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึกแปลกๆ ที่ตีตื้นเข้ามาอย่างประหลาด

ผ่านไปเพียงครู่ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ทำให้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่รีบหันไปทางอื่นเพื่อหลบซ่อนความเขินอายของตัวเองพลางคิดว่าชายหนุ่มที่ออกมานั้นจะต้องมีเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำที่เปิดเผยแผงอกรำไรหรือไม่ก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวปกปิดร่างกายส่วนล่างเอาไว้เท่านั้น แต่แล้วจินตนาการทุกอย่างที่เธอคิดไว้ก็ดับวูบไปทันทีเมื่อชำเลืองเห็นชายหนุ่มส่วมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสลคเนื้อดีก้าวออกมาด้วยท่วงท่าที่มั่นคง ก่อนจะมาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองในกระจก สายตาคมเหลือบมองหญิงสาวที่ตอนนี้เธอนั่งจ้องมองเขาอย่างมีคำถาม ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมือหนายังคงจัดแต่งทรงผมให้เข้าที่เรียบร้อยและดูดีเหมาะสมกับการออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน

“คุณหมอ...” อรณิชาเรียกชายหนุ่มเพื่ออยากจะถามความสงสัยของตัวเอง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยคำถามออกไปเสียงของเขาก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องให้เกียรติผมขนาดนั้นก็ได้ เราแต่งงานกันแล้วนี่” หมอหนุ่มพูดขณะที่สายตายังคงจับจ้องตัวเองในกระจก

“เอ่อ... พะ... พี่วิท...” หญิงสาวส่งเสียงตะกุกตะกักพยายามเปลี่ยนสรรพนามของเขาตามที่แม่ของเธอบอกไว้ ว่าให้เรียกชายหนุ่มตรงหน้าว่าพี่... แต่เมื่อเจอคำพูดต่อไปของชายหนุ่มที่แทรกขึ้นมาทำให้เธอถึงกับเลือดขึ้นหน้าทันที

“เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ขัดขึ้นมานั้นแฝงไปด้วยความแข็งกระด้างและเย็นชา โดยที่เขาไม่หันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย

“คุณวิท!” อรณิชากระชากเสียงอย่างนึกโมโหที่เขายียวนกวนประสาทเธอขนาดนี้

“ครับ” เมื่อได้ยินคำเรียกขานที่เขาพอใจ ชายหนุ่มจึงรับคำพร้อมทั้งหันมามองคนต้นเสียงที่ทำท่าเหมือนว่าเธอมีอะไรจะพูดกับเขา

“นั่นคุณกำลังจะไปไหน”

“ไปทำงาน... วันนี้ผมต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล” หมอหนุ่มตอบเสียงเรียบก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ในตู้เสื้อผ้ามาใส่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาพูดด้วยนิ่งไปเขาจึงเอ่ยเย้า

“อย่าบอกนะว่าคุณเสียใจที่ผมไม่อยู่ค้างคืนที่นี่ด้วยน่ะ” น้ำเสียงที่ดูแดกดันประกอบกับแววตาวิบวับของเขาทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตามมาเธอจึงคิดได้ว่าเขาแค่ล้อเล่นให้เธอคิดลึกเท่านั้น หญิงสาวจึงหันไปแหวทันทีอย่างนึกโมโหปนเขินอาย

“บ้า! ฉันดีใจต่างหากล่ะ จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลย ฉันง่วงแล้ว”

“พรุ่งนี้ผมจะมารับที่นี่แต่เช้า และตราบใดที่ผมยังไม่กลับมาคุณก็ห้ามออกไปเดินเพ่นพ่านข้างนอกห้องเด็ดขาด ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงผู้ใหญ่ของเราล่ะก็ ผมฆ่าคุณแน่ อรณิชา” วิทยาชี้มือทำเสียงเข้มขู่หญิงสาวให้ทำตามคำสั่งของเขา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวออกไปโดยไม่หันกลับมามองคนในห้องอีกเลย
ชายหนุ่มตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะใกล้ชิดเธอให้น้อยที่สุด และจะไม่ทำตัวเข้าไปผูกพันกับเธอมากนัก เพราะไม่ว่ายังไงเขากับเธอก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี และที่สำคัญเขามั่นใจว่าเขาคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้วด้วย

“ชิ! บ้าอำนาจ เผด็จการ เย็นชา อีตาหมอผีดิบเอ้ย... ฉันไม่กลัวนายหรอกย่ะ” อรณิชาตะโกนด่าว่าชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกไปด้วยความกรุ่นโกรธที่เขามาทำตัววางอำนาจกับเธอ

เมื่อคิดได้ว่าดีเหมือนกันที่เขาออกไปข้างนอก เธอจะได้ไม่ต้องอึดอัดหรือเป็นกังวลเรื่องต่างๆ นาๆ ที่เธอกลัวในการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายแปลกหน้า ดังนั้นหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปล็อคประตูให้แน่นหนาเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้ได้อีก หลังจากนั้นก็จัดการกับเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของตัวเองเพื่ออาบน้ำและเข้านอน

วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากไม่คิดเลยว่าเจ้าสาวที่ใครหลายๆ คนอยากจะเป็นนั้น ต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ทั้งยืน ทั้งเดิน ไหนจะต้องฉีกยิ้มตลอดเวลาอีก เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อยแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอน หญิงสาวหันไปเห็นม้วนกระดาษสีขาวผูกโบว์สีชมพูหวานที่เธอรับมาจากแฟนหนุ่มแล้วนำมาวางไว้บนหัวเตียงตอนเข้ามาในห้องนี้ มือบางหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาแล้วแกะโบว์ออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน
ภาพวาดของผู้หญิงที่งดงามในชุดเจ้าสาวแสนสวยปรากฏขึ้นมาตามรอยเปิดของกระดาษ ก่อนจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเมื่อเธอกางออกจนเต็มแผ่น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหญิงสาวในภาพนั้นเป็นใคร เพราะมันเหมือนเธอราวกับส่องกระจก ดวงตาหวานกวาดมองไปยังข้อความด้านล่างที่บ่งบอกความในใจของผู้วาดอย่างชัดเจน ‘อรจะเป็นเจ้าสาวของนนท์เสมอและตลอดไป’

“นนท์...” อรณิชาครางเรียกชื่อแฟนหนุ่มอย่างรู้สึกผิด เธอไม่น่าตอบตกลงจะคบหาดูใจกับเขาเลย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นการวิวาห์ของเธอโดยคำสั่งของผู้เป็นพ่อคงไม่ทำให้เขาต้องเสียใจขนาดนี้ เธอผิดเองที่ไม่บอกความรู้สึกกับเขาไปตรงๆ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของเธอ... หญิงสาวตะโกนด่าตัวเองในใจ น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วงทั้งสองข้างค่อยๆ หลั่งไหลพรั่งพรูลงมาด้วยความสงสารเพื่อนที่ต้องเป็นทุกข์เพราะรักเธอ และสงสารตัวเองที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก

อรณิชามองกลีบกุหลาบสีสวยที่โรยเป็นรูปหัวใจบนเตียงกว้างด้วยสายตาชิงชัง สองมือน้อยๆ กอบรวบรวมกลีบดอกไม้ขึ้นมาแล้วนำไปทิ้งถังขยะจนหมด ก่อนจะเดินกลับมาแล้วซุกตัวลงไปใต้ผ้าห่มสีขาวผืนหนานุ่ม หญิงสาวนอนร้องไห้อยู่เพียงครู่ก็ผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาที่ยังเจิ่งนองเต็มวงหน้าสวย

ภายในผับหรูใจกลางเมืองที่เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าระดับวีไอพีที่ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวต่างชาติหรือผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงไฮโซและคนมีชื่อเสียงในทุกสายงานอาชีพต่างก็มาหาความบันเทิงเริงใจหรือปลดปล่อยอารมณ์กันที่นี่

“นนท์... พอเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” กรรณิการ์ร้องห้ามชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังกระดกแก้วเหล้าในมือเข้าปากปานว่านั่นเป็นน้ำเปล่า เมื่อตอนหัวค่ำเธอวิ่งตามเขาออกมาจากงานแต่งของเพื่อนรักเพราะความเป็นห่วง กลัวเขาจะคิดมากจนทำร้ายตัวเองหรือได้รับอันตรายที่เกิดจากการใช้อารมณ์

“ไม่ต้องมายุ่ง!...” คนเมาตวาดลั่นจนหญิงสาวที่แสดงความเป็นห่วงสะดุ้งตกใจ ตั้งแต่เขาพาเธอมาที่นี่ นนท์ประวิธก็เอาแต่ดื่มเหล้าจนเมามายพูดจาไม่รู้เรื่อง เธอพูดด้วยก็ตวาดจนเธอนึกน้อยใจ

“ถ้านนท์เป็นแบบนี้ งั้นก้อยกลับแล้วนะ” หญิงสาวตะโกนไปที่ข้างหูของเขา หวังให้เสียงดังๆ ของเธอช่วยเรียกสติที่กระเจิดกระเจิงของคนเมาให้กลับคืนมาบ้าง

“ไม่ได้! ก้อยต้องอยู่คุยกับนนท์ก่อน” เสียงอ้อแอ้ของคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ดังขึ้น พร้อมกับหันมามองหญิงสาวเพื่อนสนิทที่เขาพาเธอติดรถมาด้วย จริงๆ ก็เขาเองนั่นแหละที่ไปรับเธอมาจากคอนโดเพื่อไปงานแต่งงานของผู้หญิงที่เขารัก ตอนแรกเขาคิดว่าจะอยู่ร่วมงานเลี้ยงจนถึงเวลาที่เหมาะสมแต่เมื่อเขาเห็นภาพหญิงสาวคนรักอยู่ในชุดเจ้าสาวยืนเคียงคู่กับเจ้าบ่าวที่หล่อเหลาเพอร์เฟค ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจนเขาไม่อาจทนมองอยู่ได้จึงต้องหุนหันวิ่งแล่นออกมาด้วยความปวดร้าว

“จะคุยอะไรได้ล่ะ ก็นนท์เอาแต่ดื่มๆ อยู่แบบนี้น่ะ” กรรณิการ์บอกชายหนุ่มด้วยอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่น เขาพาเธอมานั่งดูเขาดื่มเหล้าโดยไม่สนใจเธอสักนิด พอเธอจะกลับก็ไม่ให้กลับ เขาจะเอายังไงกับเธอกันแน่

“ก้อย... ป่านนี้เขาจะเข้าหอกันหรือยัง... อรเขาจะคิดถึงนนท์บ้างหรือเปล่า” นนท์ประวิธที่มีอาการมึนเมาส่งเสียงอ้อแอ้ถามหญิงสาวตรงหน้าที่เขาให้เธอมานั่งเป็นเพื่อนอยู่นานแล้ว

“เฮ้อ... นนท์ ทำใจเถอะนะ อรเขาแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว” กรรณิการ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะบอกชายหนุ่มให้ทำใจและยอมรับความเป็นจริง

“ไม่! นนท์ไม่ทำใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น... นนท์ไม่ยอมรับ... อรต้องเป็นของนนท์ เป็นของนนท์คนเดียว... ก้อยได้ยินไหม อรเป็นของนนท์คนเดียว” คนเมายังคงโวยวายเอาความเจ็บปวดและความคิดของตัวเองเป็นใหญ่

“นนท์... ก้อยว่าเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ นนท์เมามากแล้วนะ” หญิงสาวร้องเตือนเขาอีกครั้ง เพราะยิ่งเขาเมามากเขาก็ยิ่งพร่ำเพ้อโวยวายจนรบกวนโต๊ะข้างๆ ให้เกิดความรำคาญไปด้วย เมื่อเห็นคนเมานิ่งงันเหมือนกำลังคิดตัดสินใจ เธอจึงคะยั้นคะยอเร่งเร้าเขาอีก

“นะ นนท์ กลับเถอะ” นนท์ประวิธมองหญิงสาวนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบตกลงแล้วหงายตัวไปกับโซฟาหนานุ่มที่เขานั่งอยู่ เขาเอนกายหลับตานิ่งเหมือนกำลังรวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดในเวลานี้ เพื่อพาตัวเองและเพื่อนสาวกลับบ้านอย่างปลอดภัย

กรรณิการ์รินน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วส่งให้ชายหนุ่มดื่มเพื่อช่วยเจือจางแอลกอฮอล์ที่เขาดื่มเข้าไป จนเขามีสติกลับมาบ้างแต่ก็แค่พยุงตัวเองไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้นเท่านั้น หากจะขับรถเองคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ หญิงสาวจึงจำเป็นต้องทิ้งรถของเขาเอาไว้ที่นี่ แล้วพาชายหนุ่มขึ้นรถแท็กซี่ไปที่คอนโดของเธอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหากเธอไปส่งเขาที่บ้านซึ่งเขาอยู่เพียงลำพังกับพ่อและแม่บ้านที่อาวุโสมากแล้ว จะมานั่งดูแลชายหนุ่มตัวโตๆ ที่เมามายไม่ได้สติแบบนี้คงลำบากกันเปล่าๆ เธอจึงคิดจะดูแลให้ที่พักพิงกับเขาเอง

กรรณิการ์เปิดประตูห้องพักของตัวเองแล้วประคองนนท์ประวิธเข้ามานั่งที่โซฟาตัวยาวในมุมรับแขก ก่อนจะเดินไปหาผ้าและกะละมังใส่น้ำเพื่อมาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เขา

“อรไม่รักนนท์แล้วใช่ไหม อร...” ชายหนุ่มพร่ำเพ้อออกมาขณะที่ผ้าชุบน้ำหมาดๆ กำลังซับลงบนใบหน้าหล่อเหลาของเขาด้วยมืออ่อนนุ่มของหญิงสาวเพื่อนสนิท

“นนท์รักอรนะ รักมาก” เสียงรำพรรณของคนเมายังดังอยู่ต่อเนื่อง คำว่ารักที่เขาสารภาพออกมาจากปากเพื่อบอกความในใจกับผู้หญิงที่เขารักนั้น ทำให้มือบางที่กำลังจับผ้าขนหนูผืนน้อยเพื่อจะซับไปตามลำคอของเขาต้องหยุดชะงักทันทีด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจดวงน้อย แม้จะรู้และบอกตัวเองมาตลอดว่าเขารักเพื่อนของเธอมากแค่ไหน แต่ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอีกกี่ครั้งเธอก็ยังเจ็บปวดและไม่เคยชินสักที

“ก้อยรู้ว่านนท์เจ็บปวดแค่ไหนกับการได้เห็นคนที่ตัวเองรักอยู่เคียงข้างกับคนอื่น เพราะก้อยก็เจ็บปวดแบบนั้นมาตลอด” หญิงสาวกล้าพูดกับเขาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในอาการมึนเมาจนแทบไม่มีสติที่จะได้ยินได้ฟังหรือรับรู้เรื่องราวใดๆ ได้อีก

หญิงสาวเช็ดหน้าและลำตัวของเขาเท่าที่จะสามารถทำได้ จากนั้นก็จับให้เขานอนราบไปกับโซฟาตัวยาวในท่าที่เหมาะสมแม้จะไม่ค่อยสบายตัวมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าลงไปนอนกับพื้น เธอหาผ้าห่มมาคลุมกายให้เขาแค่อกเพื่อไม่ให้อึดอัดมากจากนั้นก็ถอยออกมาแล้วยืนจ้องมองเขาอยู่เพียงครู่เมื่อเห็นว่าเขาสงบลงแล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในห้องนอนเพื่อจัดการกับตัวเองบ้าง โดยหารู้ไม่ว่าชายหนุ่มที่เธอคิดว่าเขาหลับไปแล้วเพราะความเมานั้น กลับลืมตาโพรงขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประตูห้องนอนของเธอปิดลง ชายหนุ่มนึกทบทวนประโยคของเพื่อนสาวที่เพิ่งได้ยินก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก และยังไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับตัวเองหรือเปล่า ก่อนจะผล็อยหลับไปด้วยไม่อาจฝืนความอ่อนล้าของร่างกายได้

No comments:

Post a Comment