Tuesday, July 17, 2018

เสน่หาทาสซาตาน ตอนที่ 3 วันแรกของการเผชิญหน้า

ตอนที่ 3 วันแรกของการเผชิญหน้า



เช้าวันรุ่งขึ้นกับวันทำงานที่วุ่นวายของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ซึ่งแพรวาก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากลืมตาตื่นด้วยอาการสลึมสลือ ร่างเล็กพลิกตัวหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งบ่งบอกถึงเวลา 7.30 น.ทำให้ความง่วงงันหายเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงความเร่งรีบที่เข้ามาแทน หญิงสาวรีบอาบน้ำแต่งตัวด้วยความรวดเร็วอย่างที่ไม่คิดว่าจะทำได้ภายในเวลาแค่สิบนาที แล้ววิ่งกระหืดกระหอบออกจากห้อง ‘ตายแน่ๆ ยัยแพร วันนี้ท่านประธานจะเข้ามาพร้อมกับคุณธีรพัฒน์เจ้านายคนใหม่ของเธอด้วย’ ต่อว่าตัวเองในใจ ขาเล็กๆ ก็รีบก้าวเหมือนกับวิ่งเพื่อไปถึงบริษัทให้เร็วที่สุด

วันนี้ธีรพัฒน์แต่งตัวดูภูมิฐาน สง่างามสมกับตำแหน่งที่เขาจะได้รับ แม้วันนี้จะเป็นการมาที่ไม่เป็นทางการนักก็ตาม ชายหนุ่มเดินทางมาพร้อมกับมารดาและเพื่อนสนิทของเขา เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องทำงานซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหารระดับสูงทั้งชั้น  สายตาคมเข้มกำลังกวาดมองหาร่างเล็กของหญิงสาวที่จะมาเป็นเลขาของเขาอย่างนึกจับผิด

ตอนนี้โต๊ะของเธอยังคงว่างเปล่า นั่งแสดงว่าเธอยังไม่มา ความรู้สึกผิดหวังเริ่มปรากฏขึ้นในใจดูเหมือนหญิงสาวจะมาทำงานสายจนเป็นความเคยชินหรือเปล่า เขายกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกาขณะที่กำลังเดินผ่านโต๊ะของหญิงสาวเข้ามาภายในห้อง ซึ่งนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือแข็งแกร่งบ่งบอกว่าเลยเวลาเริ่มงานมาสิบนาทีแล้ว ‘เมื่อคืนคงหนักสิท่า ถึงได้ลุกมาทำงานไม่ไหว’ คิดในใจอย่างหัวเสีย เขาเกลียดคนที่ไม่ตรงต่อเวลา ไม่มีระเบียบวินัย และไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองเป็นที่สุด

“มีอะไรหรือเปล่าธีร์ แม่เห็นลูกมองนาฬิกาอยู่นานแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยถามเมื่อเห็นลูกชายมีท่าทางแปลกๆ

“ผมกำลังรอดูว่าเลขาคนดีของคุณแม่จะมาทำงานกี่โมง เพราะนี่ก็เลยเวลางานมาสิบนาทีแล้ว” เมื่อได้ฟังคำตอบจากลูกชาย คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็หันไปยิ้มให้กับทินกร ที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกชาย เหมือนเป็นการถามว่าได้ติดต่อเลขาของนางบ้างหรือเปล่า

“เมื่อสักครู่โทรไปเห็นว่าออกมาแล้วครับคุณป้า คงใกล้ถึงแล้ว” ทินกรตอบผู้ที่เป็นทั้งป้าแท้ๆ และเจ้านายที่เคารพ

“ดูเหมือนนายจะสนิทกับเธอจังนะ” ธีรพัฒน์เริ่มรู้สึกหงุดหงิด อดที่จะเหน็บแนมเพื่อนรักไม่ได้

“ก็คุณแพรเธอเป็นเลขาของแม่นายมาตั้งหลายปี เราทำงานร่วมกันมาตลอด ก็ต้องรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา” มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่นา ปกติเขาก็โทรหาแพรวาเป็นประจำ หากมาถึงที่ทำงานแล้วไม่เจอเธอ

“เอาเถอะ หนูแพรคงมีธุระส่วนตัวก็เลยมาสายนิดหน่อยน่ะ นี่ตากร ป้ารบกวนบอกให้ใครช่วยจัดโต๊ะทำงานมาไว้ในห้องนี้สักชุดนะ ป้าจะให้ตาธีร์นั่งทำงานในห้องนี้กับป้าไปก่อน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยตัดบทเพราะไม่อยากให้ลูกชายตัวเองจ้องจับผิดเลขาของนางกับหลานชายนัก

“ฮึ! ธุระส่วนตัวหรือว่ามั่วจนลุกไม่ขึ้น” เปรยออกมาเบาๆ อย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับเสมองไปทางหน้าต่างที่เป็นกระจกบานใหญ่ มองเห็นวิวทิวทัศน์ทั่วกรุงเทพฯ ได้กว้างไกล

“ว่าไงนะธีร์ เมื่อกี้แม่ได้ยินไม่ถนัด” หันมาถามลูกชายที่บ่นอะไรงึมงำไม่ได้ยิน

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบคำถาม ประตูห้องทำงานที่ถูกเคาะเบาๆ เป็นมารยาทและก็เปิดออกพร้อมกับร่างเล็กที่วิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าแม่ของเขาเสียก่อน

“สวัสดีค่ะท่านประธาน ขอโทษด้วยนะคะที่แพรมาสาย พอดีเกิดเหตุสุดวิสัยนิดหน่อยน่ะค่ะ” แพรวารีบขอโทษผู้เป็นเจ้านาย เธอเห็นท่านส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มให้อย่างเอ็นดู เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ส่วนอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่านประธานของเธอนี่ซิ มีสีหน้าท่าทางบ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์นักตั้งแต่เห็นเธอเข้ามาแล้ว

“ผมคิดว่าเลขาที่ดีควรจะมาก่อนเจ้านายนะ” น้ำเสียงเข้มบอกออกไปหวังจะตำหนิให้คนมาสายได้สำนึกผิด แต่เปล่าเลยนอกจากเธอจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยังทำหน้าสดใสเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดอีกด้วยแถมยังกล้าเถียงเขาต่อหน้ามารดาอีก

“ก็ดิฉันแจ้งให้ทราบแล้วยังไงคะ ว่าไม่ได้ตั้งใจมันเป็นเหตุสุดวิสัย แล้วที่ผ่านมาดิฉันก็มาทำงานก่อนเจ้านายเสมอ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองถามท่านประธานดูซิคะ” แพรวาท้า

“เอาน่าธีร์ ไหนๆ หนูแพรก็มาแล้ว อย่าอะไรนักเลย อีกอย่างตั้งแต่หนูแพรทำงานกับแม่มา ก็เพิ่งสายวันนี้เป็นวันแรกด้วยซ้ำ ไม่เห็นต้องตำหนิติเตือนขนาดนั้นเลย” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ห้ามทัพไว้ก่อนที่ลูกชายปากจัดจะออกฤทธิ์มากไปกว่านี้

“ก็เพราะคุณแม่ให้ท้ายซะแบบนี้ ต่อไปผมจะปกครองยังไง” ยังคงฮึดฮัดไม่เลิก เดินกระฟัดกระเฟียดไปนั่งที่โซฟารับแขกภายในห้องเพื่อรอโต๊ะทำงานชุดใหม่ที่สั่งให้จัดขึ้นมา

“หนูแพร เตรียมเอกสารสำคัญเกี่ยวกับบริษัทเอามาให้ฉันทีนะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ไม่สนใจท่าทางของลูกชาย หันไปสั่งงานเลขาสาว

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วออกไปเตรียมเอกสารตามที่เจ้านายสั่งทันที ไม่วายจะหันไปส่งค้อนวงใหญ่ให้เจ้านายคนใหม่ที่จ้องหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ทำอย่างกับเธอทำอะไรผิดนักหนา

หลังจากเลขาคนสวยออกไปเตรียมเอกสารตามคำสั่งอยู่นั้น โต๊ะทำงานเก้าอี้ชุดใหม่ก็ถูกลำเลียงจัดเข้ามาไว้ในห้องใหญ่อย่างเป็นระเบียบ หญิงสาวหายไปเพียงไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมกับเอกสารที่ต้องการ

“เอาวางไว้ที่โต๊ะทำงานชุดใหม่นั่นแหละจ่ะหนูแพร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกหญิงสาวที่นำเอกสารตามต้องการเข้ามาให้แล้วหันไปบอกคนที่ยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โซฟา

“นี่คือเอกสารสำคัญของบริษัทที่ลูกต้องเรียนรู้ มันเป็นส่วนหนึ่งที่ลูกต้องทำความเข้าใจเพื่อการทำงานที่ราบรื่น ถ้าอ่านแล้วมีข้อสงสัยอะไรก็ถามตากรได้ เขาเป็นผู้จัดการที่ทำงานต่อจากแม่ กรจะบอกลูกทุกเรื่องที่ลูกอยากรู้” บอกลูกชายเสียงนุ่ม ธีรพัฒน์ลุกขึ้นจากโซฟาเดินมายังโต๊ะทำงานตัวใหม่ หยิบแฟ้มเอกสารขึ้นมาเปิดดูคร่าวๆ แล้วก็วางกลับไปตามเดิม

“ผมรอให้เลขาของผมมาอ่านและอธิบายให้ฟังดีกว่า” หันมาบอกมารดา และมองไปยังเลขาที่เขาพูดถึงด้วยแววตาหมั่นไส้

“เลขาของธีร์ ?” ทวนคำลูกชายอย่างสงสัย

“ก็หนูแพรคนเก่งของคุณแม่ไงครับ” หันไปมองหน้าหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเหยียดหยันก่อนจะเอ่ยขอมารดา

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณแม่ต้องส่งมอบเลขาของคุณแม่ให้มาเป็นเลขาของผมอย่างเต็มตัวได้แล้วนะครับ” น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจน บ่งบอกว่าเขาต้องการอย่างนั้นจริงๆ คนเป็นแม่แม้จะหนักใจกับความใจร้อนของบุตรชายแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะยังไง นางก็ต้องมอบหมายทุกอย่างให้ลูกชายอยู่ดี จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็เหมือนกัน คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปบอกเลขาสาว

“งั้น หนูแพร ตั้งแต่วันนี้ไป หนูดูแลลูกชายของฉัน เหมือนที่ดูแลฉันไปเลยก็แล้วกัน เพราะสัปดาห์หน้าหลังจากผ่านการประชุมแต่งตั้งแล้ว หน้าที่ประธานบริษัทจะเป็นของลูกชายฉันอย่างเต็มตัว” อธิบายให้เลขาคนสวยของนางได้ฟัง พร้อมกับส่งมอบหน้าที่ให้กับลูกชายไปเลย

“ค่ะ ท่านประธาน” หญิงสาวรับคำ แต่ไม่ทันจะก้าวเดินออกไปจากห้อง ก็เจอเสียงของใครบางคนขัดไว้ซะก่อน

“เดี๋ยว! เอากาแฟมาให้ฉันด้วย กาแฟดำเท่านั้นนะ” บอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบเอกสารที่คิดว่าน่าสนใจขึ้นมาดู

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะบอกให้แม่บ้านนำกาแฟเข้ามาให้นะคะ” หญิงสาวตอบ แล้วกำลังจะหันหลังเดินออกไป

“เธอเป็นเลขาของฉันไม่ใช่หรอ หรือว่าชงกาแฟแค่นี้ทำไม่ได้” เงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวอย่างยียวน‘ฉันจะใช้งานเธอทุกอย่างจนเธอไม่มีเวลาว่างไปอ่อยเพื่อนฉันหรือผู้ชายคนไหนได้หรอกฉันจะฉีกหน้ากากผู้หญิงแสนดีใสซื่อของเธอออกมาเอง’ คนขี้หงุดหงิดคิดในใจอย่างหมายมั่น

“งั้น ดิฉันจะเป็นคนชงกาแฟเข้ามาให้เองค่ะ” รับคำออกไป เพื่อตัดปัญหาคนเอาแต่ใจ

“ดี ต่อไปนี้หน้าที่ชงกาแฟมาให้ฉัน ถือเป็นหน้าที่ของเธอไปเลยก็แล้วกัน” ออกคำสั่งเสร็จก็ก้มหน้าอ่านเอกสารของตัวเองต่อไป

“ที่นี่มีแม่บ้านประจำคอยดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว ทำไมธีร์ต้องไปใช้หนูแพรเค้าด้วย หนูแพรมีหน้าที่ดูแลเอกสารงานของแม่ที่ได้รับมอบหมายก็เยอะพออยู่แล้ว” สงสัยจึงเอ่ยถาม เพราะดูเหมือนลูกชายจะใช้งานเลขาเกินหน้าที่

“เธอเป็นเลขาผม ผมจะใช้ให้เธอทำอะไรก็ได้ไม่ใช่หรือครับ แค่เพิ่มหน้าที่ชงกาแฟ ดูแลผมนิดๆ หน่อยๆ คงไม่ถึงกับเสียงานหรอกมั้งครับคุณแม่” ตอบมารดาเสียงเรียบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ดูยียวนกวนประสาทยิ่งนัก คุณหญิงเพ็ญพักตร์ส่ายหน้าอย่างระอาในตัวบุตรชาย ที่ไม่รู้จะอะไรกับเลขานักหนา แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยไป ก็ในเมื่อนางมอบหมายหน้าที่ไปหมดแล้วนี่ จะทำอะไรได้

ไม่นานหญิงสาวก็กลับเข้ามาพร้อมถ้วยกาแฟหอมกรุ่น และแม่บ้านประจำชั้นผู้บริหารก็ตามเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำชาสำหรับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ ซึ่งเป็นหน้าที่ประจำอยู่แล้ว เมื่อเวลาท่านประธานมา แม่บ้านประจำจะต้องนำน้ำชาและน้ำดื่มเข้ามาเสริฟ แต่ตอนนี้ท่านประธานคนใหม่กลับมอบหมายหน้าที่นี้ให้เธอไปเสียแล้ว

หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง ทินกรเข้ามาชวนท่านประธานทั้งสองออกไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน แต่ก็ไม่ลืมแวะทักทายเลขาหน้าหวาน ที่เขาแสนคิดถึงและห่วงหา

“คุณแพร พักเที่ยงแล้ว เราไปทานข้าวด้วยกันมั้ยครับ ผมกำลังจะมาชวนคุณป้ากับเจ้าธีร์พอดี” หากเขามีเวลา เขาจะแวะมาชวนเธอไปทานข้าวด้วยกันเสมอๆ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอยู่เป็นประจำ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ขอบคุณค่ะคุณกร แต่แพรทานที่โรงอาหารของบริษัทดีกว่า จะได้รีบกลับขึ้นมาทำงานด้วย” ขอบคุณในความห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้เสมอ ต่างจากคนในห้อง ที่วันๆ ทำแต่หน้ายักษ์ใส่เธอ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็พูดจาอย่างกับคนเกลียดกันมาทั้งชาติ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ

ขณะที่ทินกรกำลังพูดคุยกับหญิงสาวอยู่นั้น เป็นเวลาเดียวกันที่ธีรพัฒน์พร้อมด้วยคุณหญิงเพ็ญพักตร์ออกมาจากห้องเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันพอดี ธีรพัฒน์จึงได้ยินคำเชิญชวนนั่นพอดี ทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจอย่างไม่มีสาเหตุขึ้นมา ‘ห่างกันสักวันจะตายเลยหรือไงนะ’ คิดอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปสั่งงานหญิงสาว

“ไม่ไปก็ดีแล้ว ฉันเตรียมงานไว้ให้เธอทำอยู่บนโต๊ะในห้อง ทานข้าวเสร็จแล้วก็รีบเอาไปจัดการให้ด้วยล่ะ ช่วงบ่ายค่อยเอาเข้ามาให้ฉันตรวจดูอีกที” ธีรพัฒน์บอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน

“โห อะไรจะด่วนปานนั้นครับไอ้ท่านประธาน จะไม่ให้พักผ่อนกันบ้างหรือไง” ทินกรที่ยืนฟังอยู่ เอ่ยประชดด้วยความหมั่นไส้

“ฉันจะสั่งงานเลขาของฉัน แล้วแกมาเกี่ยวอะไรด้วยวะไอ้กร” ย้อนกลับไปอย่างยียวน แล้วหันไปมองหน้าหญิงสาวด้วยสายตาจับจ้องอย่างคนรู้ทันและจับผิด

“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบขึ้นมาจัดการให้ค่ะ” หญิงสาวรับคำแล้วเลี่ยงออกไปเพื่อจัดการธุระของตัวเอง

++++++++++++++++++++++

ณ โรงอาหารของตึก T-Group พนักงานหลายร้อยคนกำลังทยอยกันลงมาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน รวมถึงแพรวาด้วย เธอก็เป็นพนักงานคนหนึ่งที่มาฝากท้องกับที่นี่เกือบทุกวัน แม้จะไม่ค่อยมีใครอยากนั่งร่วมโต๊ะกับเธอ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะถือว่า แต่ละคนก็ต่างความคิดต่างจิตต่างใจกันไป ใครจะคิดยังไงเธอก็ไม่อาจห้ามได้ ขอเพียงมีงานทำ มีข้าวกิน มีที่ซุกหัวนอนก็พอใจแล้ว

การทำงานในตำแหน่งเลขาท่านประธานของที่นี่ ทำให้เธอมีเพื่อนน้อยลง เธอจะรู้จักและพูดคุยกับพนักงานแค่บางคนเท่านั้น ไม่ใช่เพราะเธอหยิ่ง แต่เพราะทุกคนล้วนมองว่าเธอเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยการใช้เส้นสายของแม่เพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับท่านประธาน และหลายคนก็มองว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างว่าที่คอยจับแต่ผู้ชายรวยๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นข่าวกับเธอครึกโครมอยู่ตอนนี้ก็คือทินกร ทนายความหน้าหยก ขวัญใจสาวๆ ทั่วทั้งบริษัท และยังเป็นหลานของท่านประธานอีกด้วย จะมีก็แต่ ริสา เพื่อนร่วมงานของเธอที่ทำอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ มักจะแวะเวียนมานั่งทานข้าว พูดคุยกับเธออยู่เป็นประจำ รวมถึง นิรุต เพื่อนสาวประเภทสองที่ตามริสามาด้วยอีกคน

“นี่ ยัยแพร ได้ข่าวว่าวันนี้ท่านประธานพาลูกชายสุดเลิฟสุดหล่อมาด้วยใช่ป่ะ” นิรุต หรือ นัตตี้ สาวประเภทสอง จีบปากจีบคอถามเพื่อนซี้

“ย่ะ! เมื่อเช้าฉันยังเห็นเขาเดินเข้าประตูมากับท่านประธานเลยนะ” เพื่อนสาวอีกคนรีบตอบหันไปพยักพเยิดให้กับคนถูกถาม แพรวาจึงพยักหน้าให้กับเพื่อนสาวเป็นเชิงตอบว่าเขามาจริงๆ

“ว๊าย! ตายแล้ว นี่ฉันมัวไปอยู่ไหนเนี่ย ถึงไม่เห็น ก็นั่งอยู่หน้าประตูด้วยกันแท้ๆ ฮึ ยัยริสา ฉันพลาดตอนไหนยะ” หันมากระฟัดกระเฟียดใส่คนที่นั่งร่วมโต๊ะประชาสัมพันธ์ด้วยกัน

“อ้าว ก็หล่อนมัวไปแต่งสวยอยู่ในห้องน้ำโน่นงะ จะไปทันเห็นมั้ยล่ะ” ตอบเพื่อนอย่างนึกหมันไส้

“ว๊า! เสียดายจัง ว่าแต่ หล่อป่ะแก” หันไปถามต่ออีก

“หล่อมาก สูง ขาว สมาร์ทแมน แอนด์แฮนซัม อย่างกับเทพบุตรหลุดออกมาจากเทพนิยายยังไงยังงั้นเลยหละแก” คนบรรยายทำท่าเคลิ้มฝัน จนอีกฝ่ายนึกหมั่นไส้

“นี่ จริงหรอยัยแพร” สาวเทียมหันมาขอความเห็นจากคนใกล้ชิด

“ก็  คงงั้นมั้ง” แพรวาหันมายิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ใครเลยจะรู้ว่าภายใต้ความหล่อปานเทพบุตรนั้น เขาร้ายกาจขนาดไหน ซึ่งเธอเองก็ได้แต่หนักใจ ว่าจะทำงานกับเขารอดหรือเปล่า เฮ้อ.....

“อ้าว เป็นไรยัยแพร ทำไมถอนหายใจแบบนั้นล่ะ” เพื่อนสาวแท้เอ่ยถาม เมื่อเห็นคนตรงหน้ามีท่าทางแปลกๆ

“นั่นซิ เจ้านายคนใหม่ ทั้งหล่อ แมน แฮนซัม ขนาดนี้ เธอน่าจะมีความสุขนะ” อดที่จะอิจฉาเพื่อนสาวไม่ได้

“หน้าตาดี แพรไม่เถียงหรอก แต่นิสัยนี่ซิ ทั้งใจร้อน ขี้หงุดหงิด เอาแต่ใจหน้าดูเลยหละ ตั้งแต่เช้าก็ทำหน้าบอกบุญไม่รับ พอเห็นหน้าแพร ก็จ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ ไม่รู้แพรไปทำอะไรให้เขาโกรธตั้งแต่เมื่อไหร่”  แพรวาระบายความอัดอั้นในใจให้เพื่อนฟัง

“เพราะหล่อนสวยบาดใจเค้าหรือเปล่า เค้าถึงอยากจะกินเธอน่ะ” เห็นเพื่อนสาวทำหน้าอย่างกับกินยาขมแบบนั้น ก็อดจะหยอกล้อเพื่อนสาวไม่ได้

“ก็อย่างนี้แหละ พวกคุณหนูไฮโซ แถมยังเป็นลูกคนเดียวอีก คงถูกตามใจเอาอกเอาใจจนเคยชินละมั้ง” สาวแท้อีกคนออกความเห็น

“แพรรู้สึกว่าเค้ามีอคติอะไรบางอย่างกับแพรก็ไม่รู้ซิ” หญิงสาวถอนหายใจบางๆ กับสิ่งที่ไม่เข้าใจ

“สรุป คือ เขาไม่ชอบหน้าแกว่างั้นเถอะ” สาวเทียมสรุปเหมารวม ส่งผลให้คนนั่งหน้าแห้ง พยักหน้าเจือนๆ ยอมรับชะตากรรม

“ไม่หรอกมั้ง วันนี้เค้าอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ก็ได้ พอเห็นหน้าแพรก็เลยขอระบายหน่อย” ริสาปลอบใจเพื่อน คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง คนเพิ่งมาทำงานร่วมกันวันแรกก็อาจจะมีอะไรไม่เข้าใจกันบ้างเป็นธรรมดา

“งั้นแพร ขอตัวไปทำงานก่อนนะ เค้าสั่งงานทิ้งไว้ให้ บอกว่าบ่ายนี้จะเข้ามาตรวจด้วย แพรกลัวทำงานให้เค้าไม่ทัน เดี๋ยวจะโดนวีนใส่อีก” หญิงสาวตัดบท ล่ำลาเพื่อนแล้วรีบกลับไปทำงานของตัวเองตามที่คนเอาแต่ใจสั่งไว้

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ แพรวาก็กลับขึ้นมาทำงานที่ได้รับมอบหมายจากคนเอาแต่ใจจนเรียบร้อย แล้วนำกลับไปวางไว้ที่โต๊ะของคนสั่งตามเดิม จากนั้นก็มานั่งทำงานของตัวเองต่อไป

ไม่นาน ธีรพัฒน์และทินกรก็กลับเข้ามา โดยคุณหญิงเพ็ญพักตร์ไม่ได้กลับมาด้วย เนื่องจากนางมีนัดกับเพื่อนต่อ จึงให้ธีรพัฒน์กลับมากับทินกร เมื่อมาถึงหน้าห้องทำงาน ก็เห็นเลขาคนสวยนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ก่อนแล้ว

“นี่ครับคุณแพร ผมซื้อขนมเค้กมาฝาก” ทินกรส่งถุงขนมเค้กส้มยี่ห้อดังแสนอร่อยให้กับหญิงสาวเขารู้ว่าแพรวาชอบกินเค้กส้มร้านนี้มากก็เลยซื้อมาฝาก

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นรับถุงขนมแล้วกล่าวขอบคุณจากใจ

“แกจะหิ้วมาทำไมให้เมื่อยวะ ไอ้กร เค้าอยากกินเค้าก็ไปซื้อเองแหละ” กระแทกเสียงขม แล้วเดินเข้าห้องทำงานไปหน้าตาเฉย

“นายธีร์คงพูดเล่นน่ะครับ คุณแพรไม่ต้องคิดมาก ผมตั้งใจซื้อมาฝากจริงๆ” ชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ดูสีหน้าไม่สู้ดีนัก

“นี่! ไอ้กร แกไม่มีงานทำหรือไง ถึงได้มายืนหน้าหม้ออยู่ตรงนี้น่ะ” คนในห้องเปิดประตูออกมาต่อว่าเพื่อนอย่างหงุดหงิด อดที่จะเหลือบมองหญิงสาวตัวต้นเหตุไม่ได้

“แกจะอะไรนักหนาวะธีร์ คนเค้ามีมนุษย์สัมพันธ์จะยืนคุยกันบ้างไม่ได้หรือไง แกนี่วัยทองป่าววะ นิดๆ หน่อยๆ ก็หงุดหงิดอารมณ์เสีย” ทินกรย้อนเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำให้หญิงสาวคนเดียวตรงนี้อมยิ้มกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง ที่ทินกรต่อว่าคนขี้วีนว่าวัยทอง เธอคิดว่าอาการของเขาก็เหมือนกับคนวัยทองจริงๆ นั่นแหละ

“ยิ้มอะไรแม่คุณ งานที่สั่งน่ะเสร็จหรือยัง” หันไปพาลใส่คนตัวเล็ก

“เสร็จแล้วค่ะ แพร เอ้ย ดิฉันนำไปวางไว้ที่โต๊ะให้แล้วค่ะ” ตอบตะกุกตะกัก เพราะยังไม่ชินกับคำเรียกขานสรรพนามของตัวเอง

“อือ ดี เดี๋ยวเอากาแฟเข้ามาให้ฉันด้วย และฉันมีงานให้เธอทำอีก ส่วนแก ไอ้กร กลับไปทำงานของแกได้แล้วไป้ ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก” พูดเสร็จก็หันหลังเข้าห้องไป

“อ้าว ไอ้นี่ เด๊ะตอนเย็นก็ปล่อยให้เดินกลับบ้านซะหรอก” ส่งค้อนให้เพื่อนวัยทองด้วยความหมั่นไส้ ปากจัดเป็นผู้หญิงไปได้ ไม่รู้จะไล่อะไรนักหนา เมื่อก่อนเขาจะมายืนคุยกับแพรวา วันละกี่รอบก็ได้ ไม่เห็นคุณป้าจะว่าอะไร นี่แค่ซื้อขนมมาให้นิดๆ หน่อยๆ ไอ้ท่านประธานคนใหม่บ้าอำนาจก็บ่นก็ไล่ ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา

“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ คุณแพร” บอกลาหญิงสาว แล้วเดินจากไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นสุข

ก๊อก ก๊อก ก๊อก ไม่ลืมที่จะเคาะประตูเพื่อเป็นการขออนุญาต เมื่อได้ยินคำตอบรับ หญิงสาวก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับถ้วยกาแฟ และไม่ลืมที่จะหยิบสมุดจดงานเล่มเล็กเข้ามาด้วย หญิงสาวนำกาแฟเข้าไปวางตรงหน้าชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ได้มานั่งทำงานที่โต๊ะประจำตำแหน่งอย่างแท้จริงเรียบร้อยแล้ว เมื่อวางแก้วกาแฟเสร็จ หญิงสาวก็ออกมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในมุมเยื้องๆ เพื่อรอรับคำสั่ง

“ทำไมไม่นั่ง ฉันไม่ชอบให้ใครมายืนค้ำหัว” เสียงเข้มดุดังขึ้น บ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“ไม่มีมารยาท” สบทออกมาเบาๆ แต่ก็ตั้งใจให้หญิงสาวได้ยิน

“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวกล่าวเบาๆ พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงในระยะที่ห่างพอสมควรตามมารยาทเพื่อรอรับคำสั่งเงียบๆแต่ก็นึกแค้นเคืองชายหนุ่มอยู่ในใจ ไม่เคยมีใครมาว่าเธอแบบนี้สักครั้ง ตั้งแต่เธอโตมาจนป่านนี้ แม้เธอจะเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่คอยสั่งสอนก็ตาม แต่เธอก็ยังมีครูบาอาจารย์ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคอยอบรมสั่งสอนมารยาทให้ และเธอก็จดจำได้ดีตลอดมา แต่มาวันนี้ผู้ชายตรงหน้ากลับหาว่าเธอไม่มีมารยาท ‘ชิ! ดีแต่ว่าคนอื่น ทีตัวเองล่ะ ทั้งงี่เง่าเอาแต่ใจ บ้าอำนาจ ปากจัดขี้โมโห’

“ด่าฉันในใจอยู่หรือเปล่า แพรวา” พูดอย่างรู้ทัน แต่ก็ยังก้มหน้าอ่านเอกสารในมือหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย รีบเอามือปิดปากเหมือนกับว่าตัวเองได้พูดออกไปจริงๆ

“ฉันอยากได้รายชื่อกรุ๊ปทัวร์ที่เป็นลูกค้าประจำของโรงแรมเราทุกสาขาที่นี่ ด่วน! และเอกสารผลประกอบการโดยรวมของโรงแรมทุกสาขาย้อนหลัง 5 ปี เอามาให้ด้วย” เงยหน้าบอกหญิงสาวเสียงเข้มจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังก้มหน้าจดคำสั่งของเขาลงสมุดในมือ ใบหน้านวลหวานล้ำ ผิวขาวเนียนใส พวงแก้มชมพูระเรื่อน่าสัมผัส เรียวปากจิ้มลิ้มเอิบอิ่มนั้นกำลังเม้มเข้าหากันอย่างน่ารัก เธอทำให้เขาเคลิบเคลิ้มจนอยากสัมผัสขนาดนี้เชียวหรือแพรวา ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เห็นผู้หญิงสวยมาก็มาก แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อน

“ค่ะ มีอะไรอีกมั้ยคะ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามหลังจากเห็นเขาจ้องหน้าเธอ แล้วเงียบไป

“เอ่อ อะ เอาแค่นี้ก่อนละกัน” ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ และคิดว่าตัวเองไปหลงมองผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง เธอไม่มีอะไรคู่ควรให้เขาต้องมองเลยสักนิด

“ค่ะ”หญิงสาวรับคำ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้

“อ่อ บ่ายนี้ฉันอยากกินเค้กส้ม เธอจะหาให้ฉันกินได้มั้ย” สั่งหญิงสาวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

“อะ อะไรนะคะ” หญิงสาวแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าเจ้านายหน้ายักษ์ของเธออยากจะกินเค้กส้มขึ้นมาเสียดื้อๆ

“หูหนวกหรือไง ฉันบอกว่าอยากกินเค้ก และต้องเป็นเค้กส้มด้วย” กลั้นยิ้มกับอาการตกใจของหญิงสาวตรงหน้า

“เอ่อ ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” หญิงสาวคิดถึงเค้กที่ทินกรซื้อมาฝาก สงสัยคงต้องเอามาให้เจ้านายเอาแต่ใจของเธอกินแทนซะแล้ว ‘ขอโทษนะคะคุณกร’ กล่าวขอโทษคนซื้อมาฝากในใจ แล้วเดินออกไปจัดการตามที่เขาสั่ง

หญิงสาวจัดแจงหยิบขนมเค้กวางใส่จานอย่างสวยงาม แล้วนำเข้าไปให้เจ้านายเอาแต่ใจของเธอไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือผู้ชายในรูปที่เธอหลงใหลได้ปลื้มเค้ามานาน เฮ้อ.... คนเราดูแค่หน้าตาคงไม่ได้จริงๆ ซินะ คิดอยากปลงๆ จากนั้นก็กลับออกมาทำงานตามที่เขาสั่ง

ผ่านไปไม่นานร่างเล็กของเลขาสาวก็ก้าวเข้ามาในห้องใหญ่อีกครั้ง พร้อมแฟ้มงานที่เขาสั่ง แม้อากาศภายในห้องจะเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศ ที่ดูเหมือนจะเย็นมากกว่าแต่ก่อน เพราะเจ้านายคนใหม่เคยชินกับอากาศในต่างประเทศที่เขาอยู่มานาน ดังนั้นเขาจึงปรับอุณหภูมิให้ลดลงไปกว่าปกติมาก แต่แพรวากลับรู้สึกร้อนวูบไปทั่วร่างกาย เมื่อมองดูคนที่กำลังก้มอ่านเอกสารที่ถืออยู่ในมืออย่างตั้งใจ ใบหน้าคมสันรับกับคิ้วหนาคมเข้มเป็นระเบียบ ไรหนวดเขียวๆ จางๆ คงเพิ่งโกนเมื่อเช้า เขาคงเป็นผู้ชายที่เจ้าสำอางไม่น้อยทีเดียว ‘เวลาทำงาน เขาก็ดูจริงจังไม่น้อย แต่ทำไมเขาถึงชอบกวนประสาทเธอนักก็ไม่รู้’ หญิงสาวแอบถอนหายใจบางๆ

“แฟ้มรายชื่อกรุ๊ปทัวร์ได้แล้วค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงเบา พลางวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะเจ้านายอย่างเบามือ เจ้าของโต๊ะตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมองสบตา ดวงตาสีเหล็กคู่นั้นฉายแววอ่อนโยน แค่เพียงแวบเดียวก็กลับเป็นเฉยชา

“แล้วงานอีกชิ้นที่ฉันสั่งเมื่อไหร่ได้” น้ำเสียงเข้ม แลดูหมางเมิน

“แพร เอ้ย ดิฉันกำลังเตรียมอยู่ค่ะ ย้อนหลังหลายปีดิฉันต้องเข้าไปค้นเพิ่มที่ห้องเก็บเอกสารค่ะ” อยากตีตัวเองนัก ทำไมไม่ชินสรรพนามของตัวเองเสียทีนะ

“แทนตัวเองอย่างที่เคยชินเถอะ ได้ยินแล้วมันน่ารำคาญ” น้ำเสียงตวัดเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์ถูกขัดใจ จริงๆ เขาอยากให้เธอแทนตัวเองด้วยชื่อเหมือนที่เธอเคยชินนั่นแหละ ฟังแล้วมันรื่นหูอย่างไรบอกไม่ถูก

“ค่ะ งั้นแพรขอตัวไปทำงานต่อนะคะ” ดูเหมือนเธอจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจเขาไปซะหมด

“เชิญ” พูดลอยๆ อย่างไม่ใส่ใจ แล้วหันมาสนใจกับงานของตัวเองต่อ

หลังจากหญิงสาวออกไปจากห้อง ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร แล้วหมุนเก้าอี้ออกไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกกระจกบานใหญ่อย่างสบายอารมณ์ ปล่อยหัวใจและความคิดให้ล่องลอยไปตามที่ต้องการ จู่ๆ ใบหน้าสวยหวานล้ำของผู้หญิงที่เขาเกลียดชังก็ผุดขึ้นมา เธอทำเสน่ห์เล่ห์กลใส่ฉันหรือไงนะแพรวา ทำไมใบหน้าของเธอถึงโผล่เข้ามาในความคิดของเขาได้นะ ธีรพัฒน์สะบัดศีรษะเหมือนเป็นการขับไล่ความคิดออกไป แล้วหันกลับมาสนใจกับงานของตัวเองต่อ

No comments:

Post a Comment