Friday, July 13, 2018

เสน่หาทาสซาตาน ตอนที่ 1 แรกพบสบตา

ตอนที่ 1 แรกพบสบตา



ณ สนามบินสุวรรณภูมิ  ช่องทางขาเข้าประเทศไทยเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่คนที่โดดเด่นที่สุด สามารถสะกดทุกๆ สายตาให้หยุดนิ่งที่เค้าเป็นจุดเดียว ชายหนุ่มที่มีดีกรีความหล่อขั้นเทพ ตัวสูงใหญ่  ผิวขาวสะอาด นัยน์ตาคมเข้ม น่าหลงใหล เขาคือ ธีรพัฒน์ รัตนศิลานนท์ นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ไฟแรง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ เมื่อศึกษาจบ ก็ได้เข้าทำงานหาประสบการณ์กับบริษัทสาขาในเครือที่ต่างประเทศอยู่หลายปี จนกระทั่งวันนี้ เขาพร้อมที่จะกลับมาเมืองไทย และสืบทอดตำแหน่งประธานบริหารสูงสุดของ T-Group อย่างภาคภูมิใจ และเต็มความสมารถ

“สวัสดีครับคุณแม่” ธีรพัฒน์ ยกมือไหว้มารดา พร้อมเข้ากระชับอ้อมกอดที่อบอุ่น แสนคิดถึงไว้แน่น ทำให้คนเป็นแม่อดน้ำตาไหลไม่ได้ เพราะความตื้นตัน ที่ลูกชายแสนรักเพียงคนเดียวได้กลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง

“สวัสดีลูก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ ตอบรับลูกชาย พร้อมทั้งกอดลูกชายไว้แน่น น้ำตาไหลด้วยความคิดถึง

“คุณแม่สบายดีหรือเปล่าครับ ผมคิดถึงคุณแม่มากที่สุดเลย” หอมแก้มมารดาให้ชื่นใจเสียฟอดใหญ่ และส่งวาจาออดอ้อนผู้เป็นแม่ได้ชื่นใจ

“แม่สบายดี แล้วลูกล่ะ”

“ ไหน ให้แม่ดูชัดๆ หน่อย ว่าลูกชายของแม่โตแค่ไหนแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ พูดพร้อมขยับตัวออกห่างเพื่อมองลูกชายให้เต็มๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะอมยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ที่ลูกชายของตัวเองทั้งสูง ทั้งหล่อ สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติจริงๆ

“โธ่... พูดเหมือนผมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมน่ะ 34 แล้วนะครับ”  ชายหนุ่มกล่าวยิ้มๆ แล้วเข้าไปประคองมารดาให้เดินไปด้วยกัน

“คุณแม่ไม่น่าลำบากมารับผมเองเลย ความจริงให้ลุงสมปองมารับก็ได้” อดเป็นห่วงมารดาไม่ได้ อยากให้ท่านพักผ่อนเยอะๆ แค่ทำงานเพื่อเขาทุกวันนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว

“ก็แม่ทนคิดถึงลูกไม่ไหวน่ะซิ อยากจะเจอหน้าเร็วๆ” หันไปมองหน้าลูกชายอย่างรักใคร่ พร้อมชี้ไปยังรถที่สมปองรออยู่

“นั่นไง รถเราจอดอยู่ตรงนั้น เรารีบไปกันเถอะ ธีร์จะได้พักผ่อน”

“ครับ”

++++++++++++++++++++++++++

เช้าวันทำงานที่แสนวุ่นวายของใครหลายๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เลขาสาวคนสวยของท่านประธานใหญ่ T-Group แพรวา ปรียากรโสภณ หรือ แพร ที่กำลังก้มหน้าก้มตาจัดเตรียมเอกสารอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง เนื่องจากมีคำสั่งจากท่านประธานว่าให้นำเอกสารไปให้ท่านเซ็นที่บ้าน จนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งมายืนมองเธออยู่นานแล้ว

สายตาคม จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาหวานซึ้งจนปิดไม่มิด หญิงสาวที่มีใบหน้านวลขาวใส สะอาดหมดจด เครื่องหน้าที่รวมเป็นเธอแลดูสวยงามไม่มีที่ติ แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาดูเป็นธรรมชาติ ยิ่งทำให้เธอดูน่ารัก สดใส เหมือนเด็กสาวแรกรุ่น มีผิวขาวอมชมพูแลดูสุขภาพดี รูปร่างสมสัดส่วน แม้จะดูตัวเล็กและบอบบางไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอดูด้อยไปกว่าใครเลย

ชายหนุ่มยืนสำรวจอยู่นานจนหญิงสาวหันไปเห็นพอดี จึงเอ่ยทัก

“อ้าว สวัสดีค่ะ คุณกร มานานแล้วหรอคะ”  หญิงสาวยิ้มจนตาหยี เพราะไม่รู้ว่าชายหนุ่มมายืนอยู่ตรงนี้นานหรือยัง ซึ่งเธอก็ไม่ทันสังเกต ทินกร ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผิวเข้ม รับกับใบหน้าคมสัน แต่กลับมีนัยน์ตาหวานปนเศร้ามีเสน่ห์ ที่ขัดกับบุคลิกขี้เล่น อารมณ์ดี ไม่ว่าใครอยู่ใกล้จะต้องยิ้ม และหัวเราะได้ไม่หยุด เขาคือหลานแท้ๆ ของท่านประธาน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป รวมถึงรับหน้าที่เป็นทนายความประจำบริษัทด้วย

“สวัสดีครับคุณแพร ผมมาได้สักครู่แล้วครับ แต่เห็นคุณแพรกำลังยุ่งๆ ก็เลยไม่อยากรบกวน”

ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์ แล้วยิ้มกว้างตอบคำถามเธออย่างเป็นมิตร

“นี่คุณแพรเตรียมเอกสารจะไปไหนหรือครับ” เอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้า พร้อมกับแอบมองใบหน้าหวานนั้นอย่างหลงใหล แพรวา เป็นคนสวย น่ารัก เรียบร้อยและอ่อนหวาน คงไม่มีผู้ชายคนไหนที่ได้อยู่ใกล้เธอแล้วจะไม่แอบเผลอใจ อย่างน้อยก็เขานี่แหละคนหนึ่งละ นี่ถ้าเธอไม่ได้มีตำแหน่งให้มานั่งอยู่ตรงนี้ละก็ หนุ่มๆ ในบริษัทคงตามจีบเธอกันให้วุ่นแน่ๆ แต่เพราะเธอเป็นเลขาท่านประธาน ที่ใครๆ ต่างก็รู้ว่า ท่านประธานทั้งรักและเอ็นดูเลขาคนนี้ขนาดไหน จึงไม่มีใครกล้าแตะต้อง

“แพรจะนำเอกสารไปให้ท่านประธานเซ็นที่บ้านน่ะค่ะ” ตอบคำถามแล้วยิ้มหวาน ตอบรับไมตรีที่อีกฝ่ายยื่นให้

“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ” ทินกรแสดงความมีน้ำใจ ส่งสายตาหวานเชื่อมไปให้หญิงสาวตลอดเวลา

“ไม่เป็นไรค่ะ แพรเตรียมจะเสร็จแล้ว ว่าแต่คุณกร มาหาท่านประธานหรือคะ หรือว่ามีอะไรให้แพรทำ”
แพรเงยหน้าจากเอกสารแล้วหันมาถามชายหนุ่มด้วยความสงสัย เพราะปกติทินกรจะไม่มาที่นี่บ่อยนัก นอกจากจะมาพบท่านประธาน

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกครับ ตอนแรกว่าจะมาหาท่านประธานนั่นแหละ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมคงต้องไปพบท่านที่บ้าน”  ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี ในใจอยากจะบอกเหลือเกินว่า ที่มาเนี่ยก็เพราะมารับเธอไปบ้านท่านประธานด้วยกัน

เมื่อเช้าเขาได้คุยกับท่านแล้ว จึงรู้ว่าท่านให้เลขานำเอกสารเข้ามาให้ที่บ้าน และรู้ด้วยว่านายธีร์ เพื่อนสนิท หรือญาติของเขานั่นแหละ กลับมาจากต่างประเทศแล้ว ก็เลยอยากจะไปทักทายหน่อยเพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว แม้จะติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาทั้งทางอีเมล์บ้าง โทรศัพท์บ้าง ตามโอกาส

“แล้วคุณแพรเตรียมเอกสารเสร็จหรือยังครับ เราจะได้ไปพร้อมกันเลย” ทินกรเอ่ยชวนหญิงสาว และแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าเธอจะตอบตกลง

“เอ่อ.... คือ แพร เกรงใจน่ะค่ะ เดี๋ยวแพรนั่งแท็กซี่ไปเองดีกว่า” แพวาอึกอัก เพราะรู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้ารู้สึกอย่างไรกับเธอ ทางที่ดี อยู่ห่างๆ กันไว้จะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ทั้งเขาและเธอต่างกันมาก ต่างกันจนเธอไม่อาจเอื้อม และไม่อยากให้ใครมองว่าเธอหวังจะจับเขาเพื่อความสบาย รวยทางลัด แค่นี้เธอก็โดนใครๆ นินทาว่าหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายไปทั่ว ทั้งๆ ที่เธอเองก็ทำแต่งาน ไม่เคยมองใครด้วยซ้ำ

“เกรงใจอะไรกัน ผมกำลังจะไปบ้านท่านพอดี คุณก็แค่ติดรถผมไป ทางเดียวกันที่เดียวกัน ประหยัดด้วยนะครับ”

คนมีน้ำใจหาทางหวานล้อมจนหญิงสาวยอมไปกับเขาแต่โดยดี

“ค่ะ อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” แพรวา ยิ้มเจือนๆ ไม่รู้จะหาทางหลีกเลี่ยงยังไง เพราะที่ทินกรพูดก็ถูกแล้ว


++++++++++++++++++++++++++


ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นาน หนุ่มสาวทั้งสองก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่บนพื้นที่กว้างขวางย่านชานเมือง ประตูรั้วอัลลอยสีสวยเปิดต้อนรับโดยอัตโนมัติ เหมือนรู้ว่ามีรถกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณท่าน” หญิงสาวยกมือไหว้ผู้เป็นเจ้านายที่เคารพรัก

“สวัสดีครับคุณป้า” ทินกร ทักทายญาติผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้านายด้วยเช่นกัน

“อ้าว สวัสดีจ้ะ ทั้งสองคน เชิญนั่งก่อน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ เชิญหนุ่มสาวทั้งสองให้นั่งลงที่เก้าอี้รับแขก แอบมองทั้งคู่ด้วยความชื่นชมในความเหมาะสม ซึ่งหากทินกรมีความสนใจในตัวเลขาคนสวยของนางจริงๆ นางก็ยินดีจะเป็นแม่สื่อให้

แพรวาเป็นเด็กนิสัยดี กิริยามารยาทเรียบร้อย นางรับแพรวาเข้ามาเป็นเลขาตั้งแต่แพวามาฝึกงานที่นี่จนกระทั่งเรียนจบ ด้วยความสามารถทั้งทางด้านการศึกษาที่เธอได้เกียรตินิยมอันดับ1 และได้ทดลองงานกับนางจนนางเกิดความพอใจ จึงรับเข้าทำงานด้วย แถมแพรวายังเป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวคุณนายกมลวรรณ เจ้าของกิจการร้านเพชร เพื่อนรักของนางอีกด้วย

“กร มีธุระอะไรจะคุยกับป้าหรือป่าวจ๊ะ ถึงมาหาป้าที่บ้าน” นางสงสัยว่าทินกรมีธุระอะไรจะปรึกษากับนางอีกหรือเปล่า เพราะเมื่อเช้าก็ได้คุยทางโทรศัพท์กันไปหมดแล้ว หรือว่าตั้งใจที่จะมาส่งเลขาของนางกันแน่

จู่ๆ นางก็คิดได้ แล้วก็ตอบคำถามให้ตัวเองไปเรียบร้อย เหลือบตาไปมองเลขาคนสวยที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าก้มตาจัดเอกสารให้นางอยู่เงียบๆ โดยไม่ได้สนใจการสนทนาของคนทั้งสอง

“อ่อ ผมอยากมาหานายธีร์น่ะครับ เห็นว่ากลับมาแล้ว เลยแวะมาทักทายหน่อย” เป็นข้ออ้างที่ลงตัวที่สุดในตอนนี้

“ว่าแต่ นายธีร์ยังไม่ตื่นหรือครับ” เอ่ยถามพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นไปมองยังชั้นบน
คำพูดของทินกรทำให้คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น อดไม่ได้ที่จะสะดุดเล็กน้อย มือที่หยิบจับเอกสารอยู่นั้นนิ่งไปชั่วขณะ เพราะคนที่เธอเคยเห็นแต่ในรูปบนโต๊ะทำงานของท่านประธาน รวมถึงตามมุมต่างๆ ในบ้านหลังนี้ คอยตามหลอกหลอนเธออยู่ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตจริงหรือในความฝัน

ชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ดูภูมิฐานสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วเข้ม นัยน์ตาคมชวนหลงใหล รับกับจมูกโด่งเป็นสัน ทุกอย่างล้วนลงตัวเหมาะเจาะไปหมด ราวกับพระเจ้าจับวางสร้างเทพบุตรองค์นี้ลงมาเดินบนโลกมนุษย์หรือไร

“โอ๊ย รายนั้นไม่ต้องถามถึงเวลานี้หรอก ถ้าไม่หิวข้าวเที่ยง ก็ไม่ยอมลุกจากเตียงง่ายๆ แน่” ว่าพร่างส่ายหน้าอย่างระอา แต่ก็ยิ้มด้วยความเอ็นดูในตัวบุตรชาย ที่ตื่นสายเป็นประจำอยู่แล้วตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าตอนนี้จะโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้วก็ตาม

“ครับ สงสัยยังไม่ชินกับเวลาในเมืองไทยมั้งครับ อีกหน่อยก็คงปรับตัวได้เอง” คนเป็นหลานกล่าวอย่างสุภาพกับผู้เป็นป้า อดขำเล็กๆ กับเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ได้ ที่โตป่านนี้แล้ว ยังนอนตื่นสายชนิดที่ว่าถ้าไม่มีคนไปปลุกหรือไม่หิวก็ไม่ตื่น

แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะเอ่ยอะไร ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินลงมาจากข้างบน

“อ้าว นั่นไง คนโดนนินทาจนร้อน นอนไม่ได้เดินลงมาแล้ว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์พูดยิ้มๆ บอกให้แขกทั้งสองที่นั่งหันหลังให้กับทางลงบันไดได้รับรู้

ทินกรลุกขึ้นเตรียมที่จะเดินไปหาเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนาน ส่วนอีกหนึ่งสาว นั่งตัวเกร็งด้วยความตื่นเต้นดีใจ และประหม่า ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด เพราะแค่คิดว่าคนที่เธอเฝ้าฝันถึงอยู่นั้น กำลังยืนอยู่ข้างหลังเธอ ก็ทำให้เธอหน้าแดง เขินอายจนไม่กล้าหันไปมอง ทั้งๆ ที่ในใจอยากจะเห็นเขาตัวเป็นๆ ชัดๆ ว่าจะหล่อเหมือนในรูปที่เธอเคยเห็นหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หันไปมอง ก็ต้องเจอกับน้ำเสียงและคำพูดที่แสนร้ายกาจออกมาจากปากผู้ชายที่เธอแอบชอบซะก่อน

“ไง! กร นี่ทนคิดถึงฉันไม่ไหว ถึงกับหอบหิ้วเมียมาหาชั้นถึงบ้านเลยหรอวะ”

ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มที่มาจากข้างบน ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออกเหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ และดูเหมือนคนที่ช็อคที่สุดจะเป็นหญิงสาวอายุน้อยกว่าใครตรงนี้ ที่ตกใจจนแฟ้มงานหลุดจากมือหล่นลงพื้น และนั่นจึงทำให้ทุกคนตื่นจากภวังค์

“เห้ย! ไม่ใช่ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน นี่คุณแพรวา เลขาของแม่นายนั่นแหละ”

คนร้อนตัวรีบตอบกลับทันควัน เพราะกลัวหญิงสาวที่เขาหมายปองจะเสียภาพพจน์  แม้ว่าตัวเองจะหวังให้เป็นเหมือนที่เพื่อนพูดก็ตาม ส่งผลให้คนปากจัดชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายพ่นวาจาร้ายกาจออกไปอีก

“อ้าว เลขาของคุณแม่เองหรอครับ ไหนๆ ดูซิ๊ ใช่ป้าแก่ๆ ใส่แว่น กระโปรงคลุมหน้าแข้งหรือเปล่า” ไม่วายปากเสีย ส่งวาจาทิ่มแทงดูถูกถากถางไปอีก ขณะหันไปมองหญิงสาวที่เมื่อกี้ทำแฟ้มงานหล่นลงพื้น เธอจึงก้มลงไปเก็บเอกสารให้เรียบร้อยแล้วนำมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผู้ชายปากจัดที่เป็นลูกชายสุดที่รักของเจ้านาย รวมถึงเป็นผู้ชายในฝันของเธอด้วย แต่ด้วยความโกรธจึงทำให้ใบหน้าติดจะบึ้งตึงเล็กน้อย อย่างคนที่ไม่สบอารมณ์นัก เพราะโดนวาจาร้ายๆ ว่าใส่ถึงสองครั้งสองคราในเวลาติดๆ กัน นี่น่ะหรอ ผู้ชายที่เธอแอบหลงใหลได้ปลื้มนักหนา ทำไมถึงปากจัดและไร้มารยาทแบบนี้นะ

“สวัสดีค่ะ คุณธีรพัฒน์” แพรวายกมือไหว้อย่างนอบน้อม แม้ในใจจะแสนกรุ่นโกรธ
เธอรู้ชื่อเขาเพราะคุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกให้เธอรู้ และอีกไม่นานคนๆ นี้ก็จะมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของเธอด้วย แถมยังมีอายุมากกว่าเธอหลายปีนัก และเธอก็ไม่ได้แก่อย่างที่เขาว่าด้วย

ธีรพัฒน์ มองหญิงสาวอย่างอึ้งๆ เขายอมรับว่าเธอเป็นคนสวย สวยอย่างไม่มีที่ติ ใบหน้าหวานล้ำ ดวงตากลมโตที่กำลังจ้องมองเค้าอย่างโกรธๆ จมูกเชิดรั้น รับกับคิ้วโค้งสวย แพขนตายาวงอนงาม ทำให้ใบหน้านั้นดูหวานยิ่งขึ้น ผิวขาวใสน่าทะนุถนอม เรียวปากบางจิ้มลิ้มน่าสัมผัส พอคิดถึงตรงนี้ทำให้ธีรพัฒน์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ และก่อนที่เขาจะสำรวจเรือนร่างของเลขาสาวแสนสวยเลยเถิดไปไหนต่อไป เสียงของคุณหญิงเพ็ญพักตร์แม่ของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์

“ตาธีร์ ไปว่าหนูแพรเค้าแบบนั้นได้ยังไงกัน ลูกคนนี้ ไม่ดูตาม้าตาเรือซะบ้างเลย ปะ ปะ หนูแพร เราเข้าไปในห้องทำงานกันเถอะ ปล่อยสองหนุ่มเค้าคุยกันให้สบายใจ”

คุณหญิงเพ็ญพักตร์กล่าวตำหนิบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนซึ่งดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้าน แล้วชวนเลขาสาวเข้าไปทำงานในห้อง

เมื่อเข้ามาในห้องทำงานที่เงียบสงบแล้ว คุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็กล่าวขอโทษกับเลขาสาวแทนบุตรชายในความปากเสียและไร้มารยาท

“เอ่อ...ฉันต้องขอโทษแทนลูกชายฉันด้วยนะ ที่ปากเสียกับเธอแบบนั้น หวังว่าเธอคงไม่โกรธลูกชายฉันนะ”

คุณหญิงเพ็ญพักตร์กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะเธอกำพร้าทั้งพ่อและแม่ เธอจึงมองว่ารอยยิ้มของผู้มีพระคุณคนนี้ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้รับจากแม่จริงๆ

“ไม่ค่ะ แพรไม่ได้คิดอะไร คุณธีร์เธอคงจะพูดเล่น ไม่ได้ตั้งใจจะว่าแพรจริงจังหรอกค่ะ”
หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้ดีขึ้น ไม่อยากเอาความโกรธที่อยู่ในใจแสดงออกมาให้ผู้เป็นเจ้านายได้รับรู้ แล้วจะไม่สบายใจ เพราะก่อนหน้านี้ท่านก็มีความหวั่นใจอยู่แล้วว่า เธอจะสามารถร่วมงานกับธีรพัฒน์ได้หรือเปล่า เพราะเขาค่อนข้างใจร้อน เอาแต่ใจ และขี้โมโหฉุนเฉียวง่าย ที่สำคัญปากจัดที่สุด

“อย่างนั้นฉันก็สบายใจ ถ้าเธอเข้าใจตาธีร์แบบนี้ อีกหน่อยทำงานร่วมกันจะได้ไม่มีปัญหา เพราะลูกชายฉันเค้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไอ้เรื่องปากเสีย ปากจัดเนี่ย แก้ยังไงก็ไม่หาย”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์พูดอย่างระอาในพฤติกรรมของบุตรชาย ซึ่งเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวันที่ผู้เป็นเจ้านายจะบ่นถึงลูกชายสุดที่รักให้เลขาคนสนิทฟังอยู่บ่อยๆ จนเธอจดจำและซึมซับพฤติกรรมของเค้าไปโดยปริยาย

ระหว่างที่เจ้านายกับเลขาเข้าห้องทำงานกันไปแล้ว สองหนุ่มก็ชวนกันออกไปนั่งคุยที่ศาลากลางสวนหลังบ้าน ที่มีความร่มรื่นของต้นไม้ใบหญ้า และดอกไม้สีสวยนานาพรรณ ทำให้บริเวณนี้มีอากาศบริสุทธิ์สดชื่น เหมาะกับการพักผ่อน

“กลับมาคราวนี้ แกคงอยู่ยาวเลยซิ”
ทินกรเอ่ยถามเพื่อน ซึ่งได้คำตอบจากธีรพัฒน์เป็นการพยักหน้า

“ใช่ ฉันอยากให้คุณแม่ท่านพักผ่อนได้แล้ว หลังจากที่ท่านตรากตรำทำงานหนักเพื่อฉันมามาก และวันนี้ฉันก็พร้อมแล้วที่จะกลับมารับหน้าที่อันใหญ่หลวงนี้แทนท่าน” กล่าวด้วยวาจามุ่งมั่น แสดงถึงความตั้งใจอย่างจริงจัง และแววตาที่บ่งบอกถึงความห่วงใยในตัวมารดาเป็นที่สุด

เขาตั้งใจที่จะสานต่องานของมารดาให้บริษัทประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต หลังจากทำให้สาขาในอเมริกาประสบความสำเร็จมาแล้วด้วยฝีมือการบริหารของเขาเอง จึงทำให้เขาเป็นนักธุรกิจที่โด่งดังและเป็นที่น่าจับตามองมากที่สุดในขณะนี้

“แล้วนี่ ยอดยาหยีของแกกลับมาด้วยหรือเปล่า” ทินกรถามถึงคู่ควงคนล่าสุดของเพื่อน ที่มักจะได้ยินข่าวควงกันไปไหนต่อไหนอยู่บ่อยๆ เธอที่ควบตำแหน่งเลขาส่วนตัวและคู่ควงในเวลาเดียวกัน คุ้มจริงๆ

“ใครวะ ยอดยาหยีของฉัน” ธีรพัฒน์ย้อนถามหน้าตายด้วยความไม่เข้าใจ
เพราะคิดว่าตัวเองไม่เคยมีแฟน หรือคนรักที่ไหนสักคน จะมีก็แต่เพื่อนกันทั้งนั้น

“เอ๊า! ไอนี่” คนถามส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอติดจะรำคาญในความแกล้งไขสือของเพื่อน

“ก็คุณเมนี่ ยอดยาหยีของแกนั่นไง เห็นตัวติดกันตลอดเวลา เป็นทั้งคู่ขา คู่ควง พ่วงด้วยตำแหน่งเลขา คุ้มเลยไหมล่ะ” เฉลยให้คนแกล้งไขสือด้วยความหมั่นไส้ กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังจะมาทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้อีก อย่างนี้มันน่าถวายบาทานัก

“อ่อ กลับมาซิ ก็เธอเป็นคนไทย บ้านเกิดเมืองนอนของเธอก็อยู่ที่นี่ ไม่ให้เธอกลับประเทศไทยแล้วแกจะให้เธอไปอยู่ไหนล่ะ” ตอบลอยหน้าลอยตาตีรวนกวนประสาทเพื่อนกลับไป

“แล้วแกจะแต่งงานกับเธอหรือเปล่า” คนตั้งคำถาม ยังคงถามไม่เลิก

“ฉันไม่ได้คิด แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยคิดจะแต่งงาน” ใบหน้านิ่งเรียบ ไม่สะทกสะท้านเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ เพราะเขาก็หมายความอย่างที่พูดจริงๆ

เขารู้จักกับเมนี่ที่อเมริกาตั้งแต่สมัยเรียน จนกระทั่งทำงาน เมนี่ก็ตามติดเขาเป็นเงาตามตัว จะด้วยความเหงา หรือความชอบจริงๆ เขาก็ไม่อาจรู้ใจตัวเองได้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เคยคิดจะแต่งงาน ไม่ว่ากับผู้หญิงคนไหน เขาเกลียดการผูกมัด และเขาก็เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขา ล้วนต้องการแค่ชื่อเสียงและเงินทองของเขาเท่านั้น ไม่ใช่อยากได้หัวใจของเขาจริงๆ

“แล้วคุณเมนี่ล่ะ เค้าคิดเหมือนแกหรือเปล่า”
ทินกรเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก็ในเมื่อการแสดงออกบ่งบอกชัดเจนว่าธีรพัฒน์กับเมธินี มีอะไรๆ เกินเลยไปกว่าเพื่อนและเลขาแน่นอน

“ฉันไม่รู้ และไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องรู้ด้วยนี่หว่า เค้าจะคิดยังไงก็เรื่องของเค้า” น้ำเสียงเริ่มขุ่นเข้ม บ่งบอกว่าเขาเริ่มไม่สบอารมณ์กับคำถามของเพื่อนคนนี้ซะแล้ว เพราะดูเหมือนว่า ยิ่งถามมาก ตัวเขาเองก็ยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย เหมือนกับว่าชีวิตอิสระและความโสดกำลังจะหายไป

“ว่าแต่แกเหอะ มาถามแต่เรื่องของฉัน เมื่อไหร่จะแต่งการแต่งงานซะทีหะ พ่อทนายความหน้าหยก”
ธีรพัฒน์ได้ทีย้อนเพื่อนบ้าง ส่งผลให้คนตรงหน้านิ่งงัน ออกอาการหน้าแดงเห่อขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงใบหน้าหญิงสาวในดวงใจ ที่ยังไม่ได้บอกให้เจ้าตัวได้รับรู้สักที และอาการเขินอายนั้นก็ทำให้ธีรพัฒน์เข้าใจว่า เพื่อนสนิทหรือญาติของเขาคนนี้กำลังอยู่ในช่วงของความรักแน่นอน กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอแสดงอาการแปลกๆ ออกไป ก็ถูกเพื่อนรักทำหน้าล้อเลียนเหมือนรู้ทันซะแล้ว หากจะแก้ตัวตอนนี้ก็คงไม่ทัน เพราะตอนนี้ไอ้เพื่อนกวนประสาทกำลังจ้องเขาตาเป็นมัน พร้อมจะเค้นเอาความจริงให้ได้ หากไม่มีเสียงสวรรค์ดังมาช่วยชีวิตเขาไว้ซะก่อน

“คุณผู้หญิงให้มาเชิญไปรับประทานอาหารกลางวันค่ะ”  เสียงของสำอาง สาวใช้ในบ้านดังขึ้นในจังหวะที่ทินกรกำลังต้องการความช่วยเหลือพอดี

เพราะเขาเองยังไม่อยากให้เพื่อนรู้ จนกว่าเขาจะแน่ใจว่าเธอคนนั้นมีใจตรงกันกับเขาเสียก่อน  หลังจากได้รับคำเชิญ สองหนุ่มก็พากันเข้าบ้านไปที่ห้องอาหารทันที

No comments:

Post a Comment