ตอนที่ 1 กลับบ้าน
ภายในบ้านหลังใหญ่ของเจ้าแม่วงการค้าเพชรทองชื่อดัง คุณนายกมลวรรณ เดชาวัฒนสกุล พร้อมด้วยบุตรสาว บุตรเขย และหลานสาวตัวน้อยวัยสองขวบ
ทั้งหมดกำลังนั่งพักผ่อนพูดคุยกันอยู่ภายในห้องรับแขกด้วยบรรยากาศที่มีแต่รอยยิ้มเสียงหัวเราะ
และมีความสุขไปกับหนูน้อยสมาชิกใหม่นามว่า ทิชา
ที่นั่งเล่นอยู่กับพื้นโดยมีพี่เลี้ยงคอยหยิบจับของเล่นหลากสีสันส่งให้อย่างสนุกสนาน
รถแท็กซี่สีสวยสะอาดตาจอดเทียบหน้าประตูรั้วอัลลอยของบ้านหลังใหญ่ที่แสนอบอุ่น นายแพทย์วิทยา เดชาวัฒนสกุล
หมอหนุ่มผู้มีรูปร่างสูงโปร่งหล่อเหลาขาวตี๋ดีกรีนายแพทย์ใหญ่มาดนุ่มนวลก้าวลงมาจากรถด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
เขาจากบ้านอันแสนอบอุ่นหลังนี้ไปด้วยภาระหน้าที่และหัวใจอันหนักอึ้งในตอนนั้น
บัดนี้เขากลับมาด้วยหัวใจที่เข้มแข็งขึ้น
พร้อมกับความสามารถที่มากล้นด้วยประสบการณ์และความชำนาญในสายการแพทย์ที่ตัวเองถนัด
ตลอดทางที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาในบริเวณบ้าน
เขาได้ยินเสียงหัวเราะครื้นเครงของบุคคลหลายคนดังแว่วมาเป็นระยะ
ซึ่งเขาจำได้ดีว่า เสียงหนึ่งในนั้นก็คือมารดาของเขา
แค่ได้ยินคนเป็นแม่หัวเราะแบบนี้เขาก็พลอยยิ้มตามไปด้วย
และทันทีที่เท้าแกร่งก้าวเข้ามาภายในห้องรับแขกที่เป็นต้นเสียงแห่งความสุขนั้น
ทุกอย่างก็หยุดลงทันทีเหมือนกับปิดสวิตซ์ได้
“สวัสดีครับทุกคน”
“ตาวิท/พี่วิท” สองแม่ลูกร้องเรียกผู้มาใหม่ด้วยความตกใจและดีใจไปพร้อมๆ กัน
“สวัสดีครับคุณแม่” หมอหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา ก่อนจะพนมมือก้มกราบที่ตักของท่านด้วยความรักและคิดถึง
“สวัสดีลูก แม่คิดถึงลูกมากนะวิท” คุณนายกมลวรรณรั้งตัวบุตรชายขึ้นมานั่งเคียงข้างพร้อมกับโอบกอดด้วยความห่วงหาจนสุดหัวใจ
“ผมก็คิดถึงคุณแม่มากครับ”
“สวัสดีค่ะพี่วิท/สวัสดีครับหมอวิท”
สองสามีภรรยาทักทายผู้มีศักดิ์เป็นพี่ด้วยความรู้สึกยินดี
ในขณะที่คนเป็นน้องสาวจ้องมองพี่ชายของตัวเองอย่างนึกภาคภูมิใจ
วันและเวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้พี่ชายของเธอหล่อเหลาน้อยลงเลยสักนิด
ตรงกันข้ามเขากลับมีความสง่างามราวเทพบุตรจนเธออึ้งไปนานทีเดียว
“ครับน้องมล คุณกร สบายดีนะครับ” วิทยาผละจากอกอบอุ่มของมารดา แล้วหันไปถามน้องสาวกับน้องเขยด้วยรอยยิ้มเต็มวงหน้า
“พวกเราสบายดีค่ะพี่วิท” พิชามลตอบพี่ชายเสียงสดใส
“ผมต้องขอบคุณคุณกรมากนะครับ ที่ทำให้น้องสาวกับคุณแม่ของผมมีรอยยิ้มและมีความสุขแบบนี้”
“ผมว่าต้องขอบคุณหนูน้อยคนนี้มากกว่าครับ”
ทินกรบอกด้วยรอยยิ้มขณะก้มตัวลงไปอุ้มบุตรสาวสุดที่รักอันเป็นดวงใจของทุกคนขึ้นมานั่งบนตักแกร่ง
เพื่อเป็นการแนะนำให้คนเป็นลุงได้รู้จักหลานสาวตัวน้อยที่น่ารักของเขา
“สวัสดีครับหลานลุง
ขอลุงอุ้มหน่อยได้ไหมครับ”
วิทยามองเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยความรู้สึกรักและเอ็นดู
พร้อมทั้งสาวเท้าเข้าไปหาเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูด
ทินกรส่งตัวบุตรสาวให้กับวิทยาเมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
กัน หนูน้อยทิชาตบมือแปะๆ
หัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขเพราะถูกผู้เป็นลุงหอมแก้มยุ้ยๆ นั้นไปฟอดใหญ่
“นางฟ้าตัวน้อยของลุงชื่ออะไรครับ” วิทยาถามหนูน้อยบนตักแกร่งพลางหันไปมองหน้าน้องสาวกับน้องเขยยิ้มๆ
“ทิชาค่ะ
พี่วิท”
พิชามลตอบพี่ชายด้วยรอยยิ้มสดใสไม่ต่างจากบุตรสาวของตัวเองที่กำลังยิ้มร่าส่งเสียงอ้อแอ้เหมือนกำลังร่วมวงสนทนาด้วยยังไงยังงั้น
“อืม... ชื่อเหมาะและก็คล้องจองกับพ่อแม่ด้วย” คนเป็นพี่ว่าพลางหันไปส่งยิ้มให้น้องสาวกับน้องเขยด้วยความรู้สึกพอใจกับชื่อของหลานสาว
“เอ...
ทำไมทิชาถึงดูไม่ตื่นกลัวกับพี่เลยล่ะครับ” วิทยาถามอย่างนึกแปลกใจ
เพราะปกติแล้วเด็กในวัยนี้น่าจะมีความตื่นกลัวกับคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย
นอกจากจะไม่ยอมให้อุ้มง่ายๆ แล้ว ยังร้องไห้งอแงอีกด้วย
แต่หนูทิชาคนนี้กลับหัวเราะคิกคักยิ้มหวานให้ตลอดเวลาเลยด้วยซ้ำ
“ก็พวกเราเอารูปของพี่วิทแทบจะทุกๆ
อิริยาบถมาให้ทิชาดูแล้วบอกเขาว่าเป็นคุณลุง
พอดูทุกวันเข้าก็เลยคุ้นหน้าน่ะค่ะ”
พิชามลเป็นคนอธิบายให้พี่ชายได้รับรู้ถึงความฉลาดและหัวไวของบุตรสาว
“หลานลุงความจำดีนะเนี่ย
ไหนขอลุงหอมแก้มให้ชื่นใจหน่อยสิ คนเก่งของลุง”
ว่าจบหมอหนุ่มก็ก้มลงหอมแก้มนุ่มนิ่มของหลานสาวทั้งสองข้างอย่างนึกมันเขี้ยว
หนูน้อยทิชาได้แต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ มือป้อมๆ น้อยๆ
พยายามไขว่คว้าจับแว่นตาของผู้เป็นลุงด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับของแปลกที่ไม่ได้พบเจอบ่อยนัก
“แล้ววิทมายังไงเนี่ยลูก
ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน แม่จะได้ให้รถที่บ้านเราไปรับ”
คุณนายกมลวรรณเอ่ยขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ว่าบุตรชายของตัวเองกลับมาอย่างกะทันหันโดยไม่ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้าให้ได้รับรู้มาก่อน
“ผมมาแท็กซี่น่ะครับคุณแม่”
“น่าจะโทรมาบอกสักหน่อย ผมจะได้ไปรอรับที่สนามบิน” ทินกรบอกอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณครับคุณกร
พอดีเมื่อคืนผมลงเครื่องมาก็ดึกมากแล้วเลยนั่งแท็กซี่ไปนอนที่คอนโดก่อน
แล้วค่อยมาที่นี่ตอนสายๆ จะดีกว่า จะได้ไม่เป็นการรบกวนทุกคนด้วย”
วิทยาอธิบายให้คนที่มีศักดิ์เป็นน้อยเขยได้เข้าใจ
“รบกวนอะไรกันครับหมอวิท พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะครับ” ทินกรกล่าวพลางส่งยิ้มและสบตากับทุกคนในห้องอย่างอบอุ่น
“ครับ ยังไงผมต้องขอบคุณอีกครั้งนะครับที่คุณกรดูแลคุณแม่และน้องสาวของผมเป็นอย่างดี”
“มันเป็นหน้าที่ที่ผมทำด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งครับ”
คนเป็นเขยรับคำน้ำเสียงหนักแน่นเรียกรอยยิ้มปลื้มปิติของทุกคนที่มีให้แก่กันด้วยความซาบซึ้ง
“กลับมาคราวนี้ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วใช่ไหมลูก”
คนเป็นแม่หันไปถามบุตรชายด้วยความกังวล
เพราะกลัวว่าลูกชายสุดที่รักจะต้องเดินทางไปไหนไกลๆ อีก
“ครับคุณแม่ ต่อไปนี้ผมต้องทำงานตอบแทนทุนของทางโรงพยาบาลที่ส่งผมไปศึกษาเพิ่มเติมมาน่ะครับ”
“ดีลูก...
แม่น่ะไม่อยากให้ใครต้องพลัดพรากไปไหนไกลๆ อีกแล้ว
ทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเหลือเกินลูก”
คุณนายกมลวรรณพูดอย่างรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกที่หนักอึ้งมาหลายปี
ซึ่งในช่วงที่บุตรชายคนโตไปศึกษาต่อนั้น
นางทั้งคิดถึงและเป็นห่วงอยู่ตลอดเวลาจริงๆ
“งั้นเย็นนี้เราชวนบ้านพี่ธีร์กับยัยแพรมาทานข้าวเย็นกันนะคะคุณแม่
พักนี้ไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย” พิชามลเสนอความคิดด้วยความดีใจ
อยากให้ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที
“อืม...
แม่ว่าก็ดีเหมือนกันนะ แล้ววิทล่ะ ว่ายังไงลูก” สิ้นคำพูดของคนเป็นแม่
ทั้งหมดต่างก็รอลุ้นคำตอบของหมอหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ เพราะทุกคนรู้ดีว่า
ความรักในอดีตสร้างความเจ็บปวดให้เขาสาหัสขนาดไหน
แล้วเขาจะพร้อมหรือยังหากต้องเผชิญกับหญิงสาวที่เขาเคยรัก
และเคยคิดจะครอบครองเมื่อหลายปีก่อน
“ผมยังไงก็ได้ครับคุณแม่
งั้นผมขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนนะครับ”
วิทยามีสีหน้าเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่เพราะไม่อยากให้ใครต้องไม่สบายใจ เขาจึงขอหลบหน้าไปข้างบนสักพักจะดีกว่า
“ตาวิท... ลูก...”
“ผมไม่เป็นไรครับ” ว่าจบก็ขยับตัวลุกขึ้นแล้วอุ้มหนูน้อยทิชาไปส่งคืนให้กับน้องสาว
“พี่วิท... เอ่อ... มลขอโทษนะคะหากทำให้พี่วิทไม่สบายใจ” พิชามลพูดด้วยความรู้สึกผิด พลางอ้าแขนรับตัวบุตรสาวมากอดไว้บนตักของตัวเอง
“พี่ไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นอีกแล้วครับ น้องมลสบายใจได้”
“พี่วิท... ลืมได้แล้วหรือคะ”
“พี่ไม่ได้ลืม
แต่พี่เก็บไว้ในใจจนลึกที่สุดต่างหาก” วิทยาบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าแล้วก้าวขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ
ทิ้งให้ทุกคนที่นั่งอยู่เบื้องหลังมองตากันไปมาด้วยความรู้สึกสงสารชายหนุ่มยิ่งนัก
การจะลืมคนที่ตัวเองเคยรักนับว่ายากแล้ว
แต่การเก็บคนรักเก่าเอาไว้ในหัวใจให้ลึกที่สุดนั้นคงยากและเจ็บปวดยิ่งกว่า
“คุณแม่คะ มลสงสารพี่วิทจังเลยค่ะ” พิชามลพูดขึ้นขณะมองตามพี่ชายเมื่อเห็นเขาเดินลับตาไปแล้ว
“แสดงว่าวันเวลาและระยะทางไม่ได้ทำให้ความรักที่หมอวิทมีต่อคุณแพรลดเลือนลงไปเลยหรือยังไงนะ”
ทินกรเปรยออกมาเบาๆ
แต่ก็ทำให้ทั้งภรรยาและแม่ยายที่นั่งคิดเรื่องเดียวกันอยู่ได้ยินชัดเจน
“เฮ้อ...
นั่นสิ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป
เมื่อไหร่ลูกชายของแม่จะมีความสุขสักทีก็ไม่รู้”
คุณนายกมลวรรณถอนหายใจหนักๆ
ออกมาด้วยความรู้สึกกังวลถึงบุตรชายคนโตที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง
แต่กลับไม่สมหวังในเรื่องของความรัก ‘นี่แหละน้า... ที่เขาเรียกว่าโชคชะตาฟ้าลิขิต’
“เอ... หรือแม่จะลองคุยกับคุณสินชัยเพื่อนของแม่ดีนะ” จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดออกมาลอยๆ เหมือนขอความเห็นจากคนที่ได้ยิน
“ใครหรือคะคุณแม่”
พิชามลหันไปมองหน้าสามีอย่างครุ่นคิดขณะเอ่ยถามมารดา
แขนเรียวปล่อยตัวหนูน้อยทิชาให้ลงไปนั่งเล่นของเล่นกับพี่เลี้ยงตามเดิม
“ก็คุณลุงสินชัย
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสินกมลที่แม่ไปร่วมลงทุนกับเขาเมื่อสองปีก่อนนั่นไง”
นางนึกถึงเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่เป็นหมอใหญ่ของโรงพยาบาลชื่อดัง
ซึ่งมีทั้งความสามารถและชื่อเสียง
จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนฝ่ายนั้นเข้ามาชวนก่อตั้งโรงพยาบาลเอกชนด้วยกัน
ตอนนั้นนางตอบตกลงเพราะคิดว่าการมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเองก็เป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุดของบุตรชายคนโตด้วยเหมือนกัน
และจะเป็นการดีไม่น้อยหากได้นายแพทย์ใหญ่ผู้มากประสบการณ์เป็นผู้เบิกทางให้
“อ๋อ...
ผมจำได้แล้วครับคุณแม่ นายแพทย์สินชัย วรโชติ” คนเป็นเขยนึกขึ้นได้
เพราะวันที่แม่ยายไปตกลงทำสัญญากับฝ่ายนั้น เขาเองก็ไปด้วย
และยังร่วมเป็นพยานในเอกสารหลายๆ
ฉบับในฐานะทนายความประจำตัวให้แม่ยายอีกด้วย
“ใช่แล้ว... คนนั้นแหละลูก”
“แล้วยังไงหรือคะคุณแม่” บุตรสาวคนเล็กยังคงไม่เข้าใจในสิ่งมารดาต้องการจะสื่อ
“คุณสินน่ะ
เขามีลูกสาวคนเดียว และเขาเคยพูดกับแม่เป็นเชิงทีเล่นทีจริงว่า
อยากได้พี่วิทของเราไปเป็นลูกเขย”
คนเป็นแม่บอกบุตรสาวและบุตรเขยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่น
“อย่าบอกนะคะว่าคุณแม่...” พิชามลอ้าปากค้างเว้นวรรคคำพูดไว้ในเชิงที่เข้าใจตรงกัน
“ใช่ลูก... แม่คิดแบบนั้น” รอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นนั้นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของผู้อาวุโสเพื่อยืนยันความตั้งใจ
“เอ่อ...
แต่หมอวิทเขาจะยอมหรือครับคุณแม่”
คำพูดของบุตรเขยทำให้รอยยิ้มของแม่สื่อที่คิดจะจับคู่ให้ลูกชายคนโตหุบฉับลงทันที
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความกังวล
พลางนึกไปถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่นางให้ความรักและเคารพมาโดยตลอดซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นญาติเกี่ยวดองกันแล้ว
“เฮ้อ...
แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันลูก
เย็นนี้แม่ว่าจะลองขอคำปรึกษาจากคุณหญิงเพ็ญพักตร์อีกทีดีกว่า
รายนั้นเขามีความคิดที่เด็ดขาดกว่าแม่”
“ก็ดีค่ะคุณแม่
คุณป้าเพ็ญท่านทั้งเด็ดขาดและรอบคอบ ดูอย่างพวกเราสิคะ
ตอนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นเมื่อตอนนั้น
ก็ได้คุณป้าเพ็ญนี่แหละจัดการให้จนพวกเรามีวันนี้”
พิชามลนึกถึงเรื่องราวความรักของเธอและสามีกับคู่ของธีรพัฒน์และแพรวาเพื่อนรักของเธอที่กว่าจะลงเอยกันได้
ก็ทำเอาคุณหญิงเพ็ญพักตร์กับคุณแม่ของเธอเป็นลมกันไปหลายตลบ
“แต่หวังว่าคราวนี้คงจะไม่ผิดตัว
ผิดฝาผิดคู่กันอีกนะครับ” ทินกรพูดล้อเลียนยิ้มๆ
เพราะแต่ก่อนคุณป้าของเขากับคุณแม่ยายก็เคยจับคู่ให้พวกเขาสลับกันมาแล้ว
“แหม่...
คราวนี้มีคู่เดียวคงไม่มีผิดฝาแล้วล่ะจ้ะ”
คุณนายกมลวรรณพูดเหมือนประชดประชันใส่บุตรเขยอย่างมั่นใจ
ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มไปตามๆ กัน รวมถึงหนูน้อยทิชาด้วย
ที่ส่งเสียงคิกคักเหมือนกับเข้าใจในสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังคุยกัน
ทำให้ห้องรับแขกเกิดเสียงแห่งความสุขขึ้นมาอีกครั้ง
ณ
อาคารคีตาพิพัฒน์
ซึ่งเป็นทั้งชื่อบริษัทและที่ตั้งของสำนักงานรับออกแบบชื่อดังที่มากทั้งความสามารถและประสบการณ์ที่สะสมมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น
จวบจนปัจจุบันที่การบริหารสานต่อมาถึงรุ่นลูก ซึ่งเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวอย่าง นนท์ประวิธ คีตาพิพัฒน์ หรือ นนท์ ชายหนุ่มที่มีทั้งความหล่อเหลาเจ้าคารม แถมยังมาพร้อมกับความสามารถทางการศึกษาที่โดดเด่นกว่าใครด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
และด้วยความเด่นดังนี้เอง ชายหนุ่มจึงเป็นที่หลงใหลหมายปองของสาวๆ มากมาย
แต่เขาก็มีใจเดียวที่รักมั่นคงต่อเพื่อนสาวคนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันมาตลอด
ซึ่งปัจจุบันความสัมพันธ์ได้พัฒนาจากเพื่อนกลายมาเป็นคนรัก
ที่สำคัญเขายังชวนเธอและเพื่อนอีกคนที่สนิทกันให้มาทำงานที่บริษัทของเขาอีกด้วย
อรณิชา วรโชติ หรือ อร หญิงสาวผู้มีใบหน้าขาวใสดูอ่อนกว่าวัย ประกอบกับบุคลิกที่ช่างพูดช่างเจรจาไม่มีจริตเจ้ามารยาเหมือนสาวๆ สมัยใหม่ ทำให้สาวสวยวัย 28 ปีคนนี้ ดูน่ารักสดใสและซุกซนเหมือนเด็กในวัยแรกรุ่นทีเดียว เธอมีทั้งความสวยความน่ารัก อัธยาศัยดี และยังมีดีกรีถึงเกียรตินิยมอันดับ 2ติดตัวมาอีกด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะได้ตำแหน่งมัณฑนากรสาวมือหนึ่งของบริษัทออกแบบชื่อดังมาครอบครอง
ซึ่งบริษัทที่เธอทำงานอยู่นั้นเป็นของเพื่อนชายคนสนิทที่เธอเพิ่งเริ่มคบหาดูใจในฐานะคนรักได้ไม่นานอีกด้วย
“ยัยอร
เที่ยงแล้วไปกินข้าวกันเถอะ”
กรรณิการ์ชะเง้อคอเรียกเพื่อนสาวข้ามฉากกั้นโต๊ะทำงานมา
เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งจมอยู่กับงานออกแบบของลูกค้ารายใหญ่บนโต๊ะตั้งแต่เช้าจนไม่สนใจใคร
แม้แต่กาแฟที่อยู่ในแก้วก็ยังดื่มไม่หมดด้วยซ้ำ
กรรณิการ์ หรือ ก้อย เป็นเพื่อนสนิทอีกคนของนนท์ประวิธและอรณิชา
ซึ่งทั้งสามคนมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด
หลังจากเรียกจบเพื่อนรักทั้งสองก็ชวนให้เธอมาทำงานด้วยกันที่บริษัทออกแบบแห่งนี้
ซึ่งเธอก็ยินดีเป็นอย่างมากที่จะได้ทำงานกับเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ตอนเรียนจนกระทั่งจบการศึกษา
และยังได้มาทำงานด้วยกันแบบนี้อีก
ทำให้ความสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นไปด้วย
“อ้าว
เที่ยงแล้วเหรอก้อย รอแป๊ปนะ อรขอเคลียร์ตรงนี้อีกนิดนึง”
อรณิชาหันไปมองเพื่อนที่โผล่หน้ามาเพียงแว๊บๆ เท่านั้น
ก่อนจะก็ก้มลงสนใจกับงานตรงหน้าต่อ
เธออยากเคลียร์จุดสำคัญที่เธอกำลังคิดได้ให้เสร็จก่อน
เพราะตอนนี้สมองเธอกำลังแล่นดีทีเดียว
“โอเค งั้นก้อยไปห้องน้ำก่อนนะ”
“จ้ะ...”
หลังจากเพื่อนสาวขอตัวไปเข้าห้องน้ำระหว่างรอเธอเคลียร์งาน
อรณิชาก็รีบก้มหน้าก้มตาขีดเขียนไอเดียที่กำลังวิ่งเข้ามาในหัวสมองอย่างใจจดใจจ่อจนไม่ได้มองชายหนุ่มที่มายืนอยู่ตรงหน้าและจ้องมองเธออยู่เป็นเวลากว่าห้านาทีแล้ว
“นี่... คุณมัณฑนากรที่น่ารัก ขยันทำงานแบบนี้ สิ้นปีมีหวังนนท์จ่ายโบนัสอ่วมแน่ๆ” นนท์ประวิธเอ่ยแซวพร้อมกับส่งยิ้มที่สาวใดได้เห็นเป็นต้องละลายให้กับเพื่อนสาวที่ตอนนี้เธอกลายมาเป็นคนรักของเขาไปแล้ว
“อ้าวนนท์
อรคิดว่านนท์จะไปทานข้าวกับลูกค้าซะอีก”
คนที่เอาแต่ก้มหน้าทำงานเงยขึ้นมาพบกับรอยยิ้มละลายใจเข้าพอดี
ทำให้ใบหน้าขาวใสที่ไร้เครื่องสำอางมีสีระเรื่อขึ้นมาอีกนิด
เธอยอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ยิ่งตอนเวลาเขายิ้มแทบจะทำให้สาวๆ
ละลายลงไปกองกับพื้นได้เลยทีเดียว แต่น้อยคนนักที่จะเห็นเขายิ้มแบบนี้
ดูเหมือนจะมีแต่เธอเท่านั้นที่มักจะได้รับรอยยิ้มจากเขาเสมอ
“พอดีลูกค้าเขาโทรมาเลื่อนนัดน่ะ
นนท์เลยว่าง” ชายหนุ่มบอก พลางหันไปมองโต๊ะข้างๆ
ที่เป็นของเพื่อนสนิทอีกคนของเขา
เมื่อไม่พบหญิงสาวเจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่ตรงนั้นเขาจึงเอ่ยถาม
“แล้วนี่ก้อยไปไหน”
“ไปห้องน้ำน่ะจ้ะ เดี๋ยวคงมา” เสียงหวานตอบไปโดยไม่เงยหน้าจากงานบนโต๊ะที่เธอลงมือขีดเขียนอยู่ตลอดเวลา
“วางปากกาดินสอลงได้แล้วที่รัก
งานของนนท์ไม่ได้เร่งขนาดนั้นสักหน่อย” คนที่มีตำแหน่งเป็นทั้งเจ้านาย
เพื่อนสนิทและคนรัก บอกแกมบังคับขณะยื่นมือหนาเข้าไปหยิกแก้มใสเบาๆ
อย่างนึกมันเขี้ยวในความขยันจนดื้อของเธอ
“นนท์น่ะ
อย่าทำอย่างนี้อีกนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันดูไม่ดีกับตัวนนท์นะ”
หญิงสาวดุอย่างไม่จริงจังนัก เธอห่วงภาพลักษณ์ของเขาเสมอ
ในเวลาที่อยู่บริษัท เธอกับเขาเสมือนเป็นเจ้านายกับลูกน้อง
เธอไม่อยากให้ใครๆ
มองว่าเธอใช้ความสนิทสนมมาเป็นเส้นสายในการทำงานที่ประสบความสำเร็จของเธอ
“แล้วเมื่อไหร่จะเชื่อฟังกันบ้างล่ะครับ”
นอกจากเขาจะไม่ฟังเสียงดุตักเตือนของเธอแล้ว
เขายังหยอกล้อเธอด้วยการยื่นมือเข้าไปหยิบปลายผมที่ยาวคลุมแผ่นหลังบอบบางมาปัดป่ายที่แก้มนวลๆ
นั่นอีกด้วย
“ฮื้อ...
นนท์ก็อย่าแกล้งสิคะ อีกนิดนึงจะเสร็จแล้วค่ะ” อรณิชาส่งเสียงรำคาญเล็กๆ
ให้คนตรงหน้าหยุดแกล้งเธอ เพราะอยากเร่งทำงานให้เสร็จจะได้ไปหาอะไรกินสักที
ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วด้วย
ท่าทีหยอกล้อของหนุ่มสาวตรงหน้าทำให้คนที่ไปเข้าห้องน้ำและกำลังเดินกลับมาเห็นภาพนั้นพอดี
เท้าบางหยุดชะงักแล้วหลบวูบเข้ามุมกำแพงห้องทันทีด้วยความตั้งใจ
ก่อนจะค่อยๆ พิงแผ่นหลังกับผนังสูงนั้นเพื่อฟังคนทั้งสองพูดคุยกัน
เธอรู้ว่าสองคนนั้นกำลังคบกันในฐานะอะไร
เธอรู้ว่าระหว่างเราสามคนมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
และความเปลี่ยนแปลงนั้นมันทำให้เธอต้องเจ็บปวด
แต่เธอก็ยินดีและเต็มใจที่จะยอมรับมัน
กรรณิการ์แหงนเงยหน้าขึ้นเพื่อให้น้ำตาที่เอ่อคลอเต็มหน่วงนั้นกลับกลืนลงไปที่เดิม
ในเมื่อเธอรักเขาเธอย่อมไม่หวังสิ่งใดนอกจากยินดีที่เห็นเขามีความสุข
“อ้าวนนท์ นึกว่าไม่อยู่ซะอีก” กรรณิการ์เอ่ยทักชายหนุ่มหลังจากหลบมุมเพื่อทำใจจนเป็นปกติแล้ว
“อืม... พอดีลูกค้าเลื่อนนัดน่ะ” นนท์ประวิธหันมาบอกเพื่อนสนิทอีกคนที่กำลังเดินเข้ามา
“งั้นเดี๋ยวเราไปกินข้าวด้วยกันนะ” คนมาใหม่เอ่ยชวนยิ้มๆ
“ก็เนี่ย รอคุณมัณฑนากรมือหนึ่งที่ไม่รู้จะขูดเลือดขูดโบนัสกับนนท์ไปถึงไหน
ดูสิ ทำงานไม่ยอมขยับเลย”
เจ้าของบริษัทเอ่ยล้อเลียนประชดประชันคนขยันอย่างอารมณ์ดี
“จ้าๆ เสร็จแล้วจ้ะ แหม่... หวงจังนะ โบนัสเนี่ย” อรณิชาเหน็บแนมเล็กๆ กลับไป ขณะหมุนเก้าอี้ออกจากโต๊ะทำงานเพื่อลุกขึ้นยืน
“ก็ต้องหวงสิครับ
นั่นน่ะ เงินทุนเพื่ออนาคตครอบครัวของเราเลยนะครับ”
พอได้จังหวะนนท์ประวิธก็หยอดคำหวานใส่แฟนสาวทันที
โดยหารู้ไม่ว่าคำพูดของเขาทำให้หญิงสาวอีกคนที่ได้ยินรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
“เราไปกันเถอะก้อย
เจ้านายของเราชักจะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว”
อรณิชาหัวเราะคิกคักกับคำหยอดของชายหนุ่ม
ก่อนจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันไปจูงมือเพื่อนรักให้เดินไปด้วยกัน
“อะ... อือๆ” กรรณิการ์ตื่นจากภวังค์แห่งความเจ็บหันมาอือออกับเพื่อนสาว ขณะสาวเท้าตามแรงฉุดดึงอย่างมึนงงเล็กน้อย
นนท์ประวิธมองสองสาวที่เดินจูงมือกันเดินนำหน้าเขาออกไปแล้ว
ชายหนุ่มจึงรีบก้าวเท้าฉับๆ ตามไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
เพราะคิดว่าอรณิชาคงเขินอายที่เขาพูดกับเธอถึงเรื่องอนาคตของเขาและเธอที่จะมีร่วมกัน
ศาลาริมน้ำที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ทั้งน้อยใหญ่ดูเงียบสงบสบายตาเหมาะแก่การพักผ่อน
ร่างสูงของชายหนุ่มที่จากบ้านไปนานกำลังยืนชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติพลางสูดลมหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดไปอึดใจใหญ่ๆ
ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เขาแสนคิดถึง
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันกับทุกคนและเล่นกับหลานสาวตัวน้อยที่เริ่มติดเขาแจจนต้องอยู่เล่นด้วยเป็นนานกว่าหนูน้อยทิชาจะยอมไปนอน
ชายหนุ่มจึงกลับขึ้นห้องไปพักผ่อนบ้าง
ตื่นมาอีกทีก็เกือบจะเย็นแล้วชายหนุ่มจึงลุกขึ้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมานั่งพักผ่อนในมุมที่เขาโปรดปรานที่สุดในบ้าน
ก็คือที่ศาลาริมน้ำแห่งนี้นั่งเอง
ขณะที่หมอหนุ่มกำลังซึมซับกับธรรมชาติรอบตัวอยู่นั้น
จู่ๆ
สายตาคมก็เหลือบไปเห็นหนูน้อยตัวจ้ำม่ำกำลังเดินเตาะแตะมุ่งตรงมาทางนี้
ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเป็นทิชาหลานสาวตัวน้อยของเขา
แต่พอเขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหากลับพบว่าหนูน้อยคนนี้เป็นเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารัก
ยิ่งเข้าไปใกล้เรื่อยๆ
ยิ่งพบว่าหนูน้อยคนนี้ช่างมีใบหน้าที่คุ้นตาจนหัวใจดวงแกร่งกระตุกวาบ
“ว่าไงหนุ่มน้อย
มากับใครครับ”
ชายหนุ่มย่อตัวลงใช้เข่าข้างหนึ่งยันกับพื้นไว้เพื่อคุยกับเด็กน้อยที่เขารู้สึกถูกชะตาด้วย
หนูน้อยส่งเสียงอ้อแอ้ชี้มือชี้ไม้เข้าไปในบ้านเหมือนกับจะบอกว่าคนที่มาด้วยนั้นอยู่ในบ้านของเขา
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ
เสียงหญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังร้องเรียกตามหาใครบางคนอยู่ก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มหันไปมองทางต้นเสียงที่ฟังดูคุ้นหู
“แพทริกอยู่ไหนลูก...
แพทริก...”
แพรวาตะโกนเรียกลูกชายสุดที่รักที่ไม่รู้เดินหายไปตั้งแต่ตอนไหน
เพราะเธอมัวหยิบนั่นหยิบนี่ลงจากรถตามประสาแม่ลูกอ่อนที่ต้องมีของใช้มากมายสำหรับลูกน้อยในยามออกมาข้างนอกบ้านแบบนี้
แต่แล้วเท้าบอบบางก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าบุตรชายของตัวเองกำลังอยู่กับใคร
“น้องแพร...”
วิทยาครางเรียกชื่อหญิงสาวที่เคยเป็นดวงใจของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งตกใจ ดีใจ และเสียใจไปพร้อมๆ กัน ขณะที่มือหนาค่อยๆ
ปล่อยแขนเล็กป้อมของหนูน้อยที่ทำท่าเหมือนกำลังจะวิ่งเข้าไปหาเธอด้วยความดีใจ
ส่วนเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าตามหนูน้อยเพื่อไปหาเธอด้วยเหมือนกัน
“พี่วิท...”
แพรวาเรียกพี่ชายแสนดีของเธอด้วยน้ำเสียงแผ่นเบาจากความไม่คาดคิดว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
ขณะที่หญิงสาวกำลังยืนอึ้งตกตะลึงอยู่นั้น
พลันหัวใจดวงน้อยก็ต้องกระตุกวูบเมื่อลูกชายจ้ำม่ำของเธอเดินโซซัดโซเซไปตามทางเดินที่โรยด้วยก้อนหินเหมือนกำลังจะล้ม
ด้วยความตกใจที่กลัวลูกน้อยจะเจ็บตัวเธอจึงถลาเข้าไปพร้อมกับคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไว้แนบอก
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่วิทยาก็พุ่งตัวเข้าไปหาหนูน้อยด้วยเหมือนกัน
ทำให้สองแม่ลูกตกอยู่ในวงแขนแกร่งของเขาอย่างไม่ตั้งใจ
“ไอ้หมอ!แกปล่อยเมียกับลูกของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ธีรพัฒน์ตะโกนลั่นพร้อมทั้งยกมือขึ้นชี้หน้าคู่ปรับเก่าด้วยความโกรธจัด
สองขาแกร่งก้าวฉับๆ ตรงเข้าไปหาบุคคลตรงหน้าทันทีอย่างรวดเร็ว ‘หน๊อย... ไอ้หมอเลว จนป่านนี้มันยังคิดจะงาบเมียเขาอยู่อีก’
เสียงของธีรพัฒน์ทำให้ทั้งสามคนที่เหมือนกอดกันกลมในสายตาของคนโกรธจัด
ต้องสะดุ้งผละออกจากกันด้วยความตกใจ
วิทยาเป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนเพราะคิดว่าหญิงสาวที่เขาโอบประคองอยู่นั้นคงได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าเป็นแน่
เขาเห็นขาของเธอขูดกับพื้นก้อนหินตอนที่ถลาเข้ามารองรับตัวหนูน้อยเอาไว้
แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะยืนได้เต็มความสูง หมัดหนักๆ ของคนต้นเสียงที่ทำให้พวกเขาตกใจก็ซัดเข้ามาที่ใบหน้าหล่อเหลาอย่างเต็มแรง
ผัวะ!...
“ไอ้หมอสาระเลว! นี่แกยังจ้องจะแย่งเมียคนอื่นเหมือนเดิมเลยนะ” คนใจร้อนตะคอกใส่ไม่ยั้ง เดินดิ่งเข้าไปหาคู่อริ หมายจะซ้ำหมัดหนักๆ ลงไปอีก
วิทยาที่ไม่ทันตั้งตัวหลังจากโดนหมัดของอีกฝ่ายจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วส่งหมัดของตัวเองสวนกลับไปให้คนที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาอย่างคุกคาม
ผัวะ!...
“แกก็ยังใช้กำลังโดยไม่ฟังเหตุผลเหมือนเดิมเช่นเดียวกัน
ธีรพัฒน์”
วิทยาบอกอีกฝ่ายที่ลงไปกองกับพื้นด้วยหมัดของเขาเพื่อหวังจะเตือนสติให้ยั้งคิดและฟังเหตุผลกันบ้าง
แต่คนที่กำลังหน้ามืดตามัวเพราะความหึงหวงกลับไม่ฟังอะไรทั้งนั้น
ธีรพัฒน์รีบผุดลุกขึ้นยืนแล้วย่างสามขุมเข้ามากระชากคอเสื้อหมอหนุ่มหมายจะตะบันลงไปที่ใบหน้าหล่อเหลานั่นอีกครั้ง
“หยุดนะคะคุณธีร์!”
แพรวาร้องเรียกสามีด้วยความโกรธจนถึงขีดสุด เขาเป็นคนใจร้อนเธอพอจะเข้าใจ
แต่สิ่งที่เขาทำเหมือนเป็นการดูถูกเธอและไม่ไว้ใจเธอขนาดนี้
มันเป็นสิ่งที่เธอเสียใจและรับไม่ได้
“น้องแพร...”
ธีรพัฒน์หันไปตามเสียงเรียก
เขาตกใจที่เห็นภรรยายืนร้องไห้กอดลูกน้อยที่กำลังแผดเสียงจ้าด้วยความตื่นกลัวกับเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของคนเป็นพ่อ
“น้องแพรบาดเจ็บ”
วิทยาพูดออกมา
พร้อมกับสะบัดคอเสื้อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายเพื่อเดินไปหาหญิงสาวที่เขาเห็นว่ามีเลือดไหลซึมลงมาตามขาเรียวสวยจากแผลที่หัวเข่าของเธอ
เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยประกอบกับเสียงโวยวายดังลั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านรีบวิ่งออกมาดูด้วยอาการตื่นตกใจ
เพราะคิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น
ทินกรรีบปรี่เข้าไปคว้าแขนของธีรพัฒน์เอาไว้
ส่วนพิชามลหันไปส่งบุตรสาวตัวน้อยให้กับพี่เลี้ยง
และเธอก็รีบเข้าไปหาแพรวาทันทีด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นทั้งสองแม่ลูกยืนกอดกันร้องไห้
“ตาธีร์!นี่มันอะไรกัน”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ผู้อาวุโสที่สุดของบ้านร้องถามบุตรชายด้วยใบหน้าบึ้งตึง
และยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของบุตรชายและหลานชายที่เพิ่งกลับมาจากเมืองนอกมีรอยแตกช้ำมีเลือดไหลซิบๆ
ที่มุมปาก
“ตาวิท
เกิดอะไรขึ้นลูก” คุณนายกมลวรรณยกมือทาบอกด้วยอาการตกใจ
เมื่อเห็นทั้งลูกและหลานทะเลาะวิวาทกันเหมือนเช่นในอดีต
และสาเหตุก็คงหนีไม่พ้นหญิงสาวที่ยืนน้ำตาคลอโอบกอดลูกน้อยเพื่อปลอบโยนนั่นอีกเป็นแน่
‘ระยะทางและวันเวลาไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ หรือไงนะ ชายหนุ่มทั้งสองถึงยังตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูหัวใจกันไม่จบสิ้น’
“เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับคุณป้าคุณแม่”
วิทยาเป็นฝ่ายตอบคำถาม แล้วรีบสาวเท้าเข้ามาหาแพรวาเพื่อพาเธอไปทำแผล
แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวหญิงสาวก็เจอเสียงของคนหวงเมียขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หยุดอยู่ตรงนั้นเลยไอ้หมอ
และออกไปห่างๆ เมียฉันด้วย” คนขี้หวงตะโกนลั่น
รีบสาวเท้าเข้ามาหาคนเป็นภรรยาด้วยอาการร้อนรน เมื่อเห็นเลือดที่ขาของเธอ
“แกจะอะไรนักหนาวะธีร์
คุณแพรเธอบาดเจ็บไม่เห็นหรือไง”
ทินกรพูดขึ้นเพื่อหวังเตือนสติอีกฝ่ายให้ใจเย็น
แต่ดูเหมือนคนใจร้อนจะยังดื้อดึงไม่ฟังใคร
“เห็น!ก็ฉันกำลังจะมาดูอยู่นี่ไง”
ธีรพัฒน์บอกแล้วยื่นมือเข้าไปหมายจะรับตัวลูกชายตัวน้อยจากภรรยามาอุ้มไว้แทน
แต่ก็ต้องหน้าเสียเพราะภรรยาของเขาสะบัดตัวหนีและขยับออกห่าง
“อย่ามายุ่งกับแพร...
แพทริกไปอยู่กับป้ามลก่อนนะลูก” แพรวากระชากเสียงใส่สามี
ก่อนจะส่งตัวบุตรชายในอ้อมกอดให้กับเพื่อนรัก
เพราะเธอรู้สึกเจ็บขาหากอุ้มลูกไปด้วยคงจะเดินไม่ถนัดนัก
และอาจจะล้มลงไปอีก
“ไปครับน้องแพร เดี๋ยวพี่จะทำแผลให้” วิทยายื่นแขนให้หญิงสาวจับเพื่อพาเธอเดินเข้าไปในบ้าน
“ตาธีร์
แกตามฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ปล่อยให้หมอวิทเขาทำแผลให้หนูแพรก่อน”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์สั่งเสร็จสรรพก็หันหลังเดินเข้าบ้านทันที
ตามด้วยคุณนายกมลวรรณ และทินกรที่รับตัวลูกสาวจากพี่เลี้ยงมาอุ้มไว้
ก่อนจะเดินไปโอบเอวภรรยาที่อุ้มหนูน้อยแพทริกอยู่ให้เดินตามกันเข้าไปในบ้าน
ทั้งหมดพากันเดินเข้ามาภายในห้องรับแขกของบ้านคุณนายกมลวรรณ
โดยธีรพัฒน์ตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดเหมือนคนถูกขัดใจ
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาพิชามลหมายจะรับลูกน้อยของเขามาอุ้มแต่เจ้าหนูแพทริกกลับส่ายหัวดิกพร้อมทั้งสะบัดตัวดีดดิ้นเวลาเขาจับ
สองแขนเล็กๆ ป้อมๆ นั่นก็กอดรัดคนเป็นป้าเอาไว้แน่น
เขาจึงเดินไปหาที่นั่งเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน
“ไงล่ะตาธีร์
รู้จักอายลูกแกบ้างไหม โตจนป่านนี้แล้วยังทำตัวเป็นอัธพาลอยู่อีก”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ็ดบุตรชายทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม
“โถ่...
คุณแม่ครับ ก็ไอ้หมอนั่น เอ่อ... หมอวิทมากอดเมียผมทำไมล่ะครับ”
ธีรพัฒน์เกือบหลุดปากเรียกคู่อริด้วยคำหยาบ แต่พอเหลือบไปเห็นตาดุๆ
ของมารดาเขาจึงรีบแก้คำพูดให้ดูสุภาพขึ้น
“แล้วแกถามเขาหรือยัง
ว่าเขาตั้งใจจะกอดเมียแกหรือเปล่า” คนเป็นแม่ถามกลับไปด้วยความฉุนเฉียว
นิสัยไม่ฟังใครของบุตรชายที่ไม่ว่าจะอายุปูนไหนก็แก้ไม่หาย
ทำให้นางรู้สึกเอือมระอายิ่งนัก
“ไม่ได้ถามครับ”
คนผิดก้มหน้าตอบน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
ด้วยสำนึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดเต็มประตู ดูสิ
ทั้งเมียทั้งลูกพากันงอนเขาไปหมด
หนูน้อยแพทริกลูกชายสุดที่รักก็ไม่ยอมให้เขาอุ้มไม่ยอมให้เข้าใกล้เพราะกลัวความโหดร้ายป่าเถื่อนของเขาเมื่อกี้นี้
ส่วนคนเป็นภรรยาก็ไปให้คู่กรณีของเขาทำแผลอย่างหน้าตาเฉย
“เหอะ!เวรกรรม
ลูกฉัน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ถอนหายใจออกมาแรงๆ
พลางยกมือขึ้นบีบนวดขมับเพื่อระบายความกลัดกลุ้มที่สุมอยู่ในอกอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับลูกชายตัวแสบของนางดี
“แกไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะนายธีร์
เผื่อจะได้ดับความร้อนรุ่มในใจแกได้บ้าง”
ทินกรบอกเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้อีกฝ่ายพูดคุยโดยใช้อารมณ์อีก
เพราะดูจากสถานการณ์แล้ว กลับบ้านไปธีรพัฒน์คงต้องเจอศึกหนักเป็นแน่ ดูสิ
ทั้งเมียทั้งลูกพากันงอนตุ๊บป่องแบบนี้
“อือ...
ก็ดี งั้นผมขอตัวสักครู่นะครับ” ธีรพัฒน์เห็นด้วยกับคำแนะนำของเพื่อน
ก่อนจะเอ่ยขอตัวแล้วลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลังของห้องรับแขกทันที
“พี่ขอโทษด้วยนะคะคุณน้อง
ที่ตาธีร์มาทำตัวป่าเถื่อนที่นี่และยังทำร้ายหมอวิทอีก”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์หันมาบอกเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจ
นางเชื่อว่าบุตรชายของนางเป็นฝ่ายผิดอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นลูกสะใภ้ของนางคงไม่ร้องไห้และไม่ยอมให้คนเป็นสามีเข้าใกล้แบบนี้หรอก
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่
น้องเข้าใจ ตาธีร์คงยังไม่ไว้ใจตาวิท
เพราะต่างก็รู้ดีว่าทางนี้รักหนูแพรมากแค่ไหน”
คุณนายกมลวรรณบอกอย่างนุ่มนวล
ด้วยความที่เป็นคนใจเย็นทำให้นางไม่รู้สึกโกรธเคืองอีกฝ่าย
ภายในใจนั้นกลับพยายามครุ่นคิดหาทางแก้ไขให้เรื่องนี้คลี่คลายลงในเร็ววัน
“เฮ้อ... หมอวิทนะ หมอวิท เมื่อไหร่จะทำใจได้สักทีนะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เปรยออกมาอย่างไม่จริงจังนัก
“คุณพี่คะ
น้องว่า... เราจัดการตามแผนที่เราคุยกันไว้ดีกว่าค่ะ จัดการเลย
ไม่ต้องรอความพร้อมอะไรแล้ว” จู่ๆ
คุณนายกมลวรรณก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เพราะก่อนหน้านี้นางได้พูดคุยและปรึกษาหารือกันมาบ้างแล้ว
“หือ...
คุณน้องจะเอาอย่างนั้นเลยหรือคะ”
คนให้คำปรึกษาหันมาทวนถามด้วยความไม่แน่ใจ
เพราะตอนที่คุยนั้นได้ตกลงกันไว้ว่าจะรอให้เด็กทั้งสองได้ทำความรู้จักและคบหาดูใจกันตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ก่อน
แล้วค่อยถึงขั้นให้แต่งงานกัน
“ค่ะ
น้องจะไปทาบทามสู่ขอบุตรสาวของคุณสินชัยพรุ่งนี้เลย หากทางโน้นไม่มีปัญหา
เราก็จะจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด”
คนเป็นแม่ที่ตั้งใจลิขิตโชคชะตาให้กับบุตรชายอันเป็นที่รักกล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่น
พลางเหลือบตาไปมองบุตรสาวและบุตรเขยที่มองหน้ากันด้วยอาการตกใจอย่างคาดไม่ถึง
แต่ทั้งสองก็เลือกที่จะนิ่งฟัง
เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ถามความคิดเห็นเราในฐานะผู้น้อยหรือลูกหลานจะพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้
มันเป็นมารยาทที่ใครๆ ต่างก็รู้ดี
“พี่ว่านะ
ปัญหาน่ะ มีแน่นอน คุณน้องเตรียมทำใจเอาไว้ได้เลย...
หนุ่มสาวสองคนแต่งงานกันโดยที่ไม่รู้จักกันสักนิด พี่เชื่อว่า...
ต่อให้ต้องแต่ง ทั้งสองก็คงไม่เต็มใจหรอก”
คุณหญิงเพ็ญพักตร์ออกความเห็นตามความเป็นจริงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ในวันข้างหน้าของคู่แต่งงานที่ถูกคลุมถุงชนแบบนี้
“น้องคิดว่า ความใกล้ชิดหลังจากแต่งงานแล้ว อาจจะทำให้คนทั้งสองเกิดความรักขึ้นมาได้นะคะคุณพี่”
“อันนี้ก็ต้องแล้วแต่บางคนบางคู่ด้วยนั่นแหละคุณน้อง” คนออกความเห็นแย้งขึ้นเบาๆ
“น้องจะขอฝืนใจลูกแค่สองปีค่ะ
หลังจากนั้นจะตัดสินใจกันยังไงน้องก็ไม่ห้ามค่ะ”
คุณนายกมลวรรณบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเศร้าเล็กน้อย เพราะลึกๆ
แล้วนางเองก็ไม่อยากให้ชีวิตคู่ของบุตรชายที่นางตั้งใจลิขิตไว้ต้องพังทลายลง
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู
ยังไงก็ต้องไปคุยกับฝ่ายหญิงเขาก่อน ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์บอกอย่างตัดใจ
เพราะตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการพูดคุยและปรึกษากับอีกฝ่ายถึงสิ่งที่ต้องการ
“ค่ะ พรุ่งนี้น้องจะรบกวนคุณพี่ไปด้วยกันได้ไหมคะ”
“ได้สิคะคุณน้อง พี่ยินดี” คนถูกชวนยิ้มกว้างตอบรับด้วยความเต็มใจ
“ขอบคุณมากค่ะ” เจ้าของบ้านยิ้มตอบด้วยความดีใจและซาบซึ้งที่อีกฝ่ายคอยให้คำแนะนำปรึกษาไม่ขาด
สิ้นคำพูดของคุณนายกมลวรรณ ธีรพัฒน์ วิทยาและแพรวาก็เดินกลับเข้ามาที่ห้องรับแขกพอดี
“เป็นยังไงบ้างหนูแพร” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยถามลูกสะใภ้ทันทีที่เห็นหน้า ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตไปให้บุตรชายตัวก่อเรื่อง
“แผลถลอกนิดหน่อยค่ะคุณแม่
ไม่เป็นไรมาก” แพรวาตอบแม่สามี
ขณะเดินเข้าหาบุตรชายตัวน้อยที่หลับอยู่บนตักของเพื่อนรัก
โดยไม่หันไปมองผู้ชายใจร้ายขี้โวยวายที่คอยมองเธออยู่ตลอดเวลาด้วยความสำนึกผิด
“วิท...” คุณนายกมลวรรณเรียกบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เหมือนเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“เรื่องเข้าใจผิดน่ะครับคุณแม่
พอดีผมเห็นน้องแพทริกกำลังจะล้มผมเลยพุ่งตัวเข้าไปเป็นจังหวะเดียวกับที่น้องแพรก็วิ่งเข้ามาด้วยเหมือนกัน
ทั้งหมดเป็นความบังเอิญที่ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”
วิทยาเล่าเหตุการณ์ตอนนั้นให้มารดาและคนอื่นๆ ได้ฟัง
ก่อนจะส่งสายตาอบอุ่นไปให้หญิงสาวที่เขาเคยรัก
แม้จะมีความเสียใจเจือปนอยู่บ้างแต่แปลกที่เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนดั่งเช่นที่ผ่านมาอีกแล้ว
ทั้งหมดนั่งพูดคุยกันอยู่ไม่นานก่อนจะร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมกัน
จากนั้นคุณหญิงเพ็ญพักตร์และลูกชายลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานชายตัวน้อยก็พากันกลับบ้าน
ดูท่าแล้วบุตรชายของนางจะเจอศึกหนักจากภรรยาคนสวยเป็นแน่
เพราะแม้แต่ตอนนี้แพรวาก็ยังปั้นปึงไม่พูดไม่จาและยังไม่ให้คนเป็นสามีเข้าใกล้อีกด้วย
‘สมน้ำหน้า อยากขี้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือดีนัก คืนนี้เมียไม่ให้เข้าห้องแน่ๆ หึหึ’ คุณหญิงเพ็ญพักตร์คิดด้วยความสะใจในชะตากรรมที่บุตรชายจะได้รับ
รถยนต์คันหรูจอดเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ของนายแพทย์ชื่อดังในเวลาใกล้ค่ำเหมือนเช่นทุกวัน
เมื่อรถจอดสนิท อรณิชาปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับแฟนหนุ่ม
ตั้งแต่เธอตอบตกลงจะคบหากับเขาในฐานะคนรัก เขาก็มารับมาส่งเธอทุกวันทั้งๆ
ที่ไม่จำเป็น เพราะปกติเธอก็ขับรถไปไหนมาไหนเองอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเขาที่อยากจะดูแลเธอและได้ใกล้ชิดกันอีกหน่อยเธอจึงไม่ว่าอะไร
“เดี๋ยวอร... คุยกันก่อนสิ” นนท์ประวิธคว้าข้อมือบางของแฟนสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูรถลงไป
“มีอะไรเหรอนนท์” อรณิชาปล่อยมือจากประตูหันมามองหน้าชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ
“เมื่อไหร่เราจะแต่งงานกันสักทีล่ะ
นนท์รออรมานานแล้วนะ”
น้ำเสียงตัดพ้อออกมาจากปากของชายหนุ่มเจ้าของรถทันทีที่หญิงสาวข้างกายหันมาสบตาเขา
“อรขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมคะ
นนท์ก็รู้ว่าคุณพ่อท่านไม่เห็นด้วยกับการคบกันของเรา”
หญิงสาวบอกด้วยความรู้สึกเห็นใจแฟนหนุ่ม แต่ลึกๆ
ภายในจิตใจแล้วเธอเองยังไม่คิดกับเขาถึงขั้นแต่งงานเลยด้วยซ้ำ
เธอมีความฝันที่จะเรียนต่อและท่องเที่ยวไปรอบโลกอย่างอิสระมากกว่า
เพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่คบกันมานานทำให้เธอไม่กล้าที่จะปฏิเสธเขาตรงๆ
แบบเปิดอก
ดังนั้นเรื่องระหว่างเธอกับเขาจึงเหมือนเส้นขนานที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
แต่ไม่มีวันบรรจบกันได้
“ครับ นนท์รู้ แต่อรจะให้นนท์รอไปถึงเมื่อไหร่ หากคุณพ่อของอรไม่มีวันเปลี่ยนใจมาชอบนนท์ได้ เราก็ต้องคบกันแบบนี้ต่อไปหรืออร”
“คุณพ่อท่านคงเป็นห่วงเราสองคนน่ะค่ะ
ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมานานแต่เราก็ยังไม่เคยคบกันแบบคนรัก
ท่านคงอยากให้เราศึกษาดูใจกันไปก่อน”
อรณิชาพยายามหว่านล้อมให้อีกฝ่ายใจเย็น
แม้ตัวเองจะรู้สึกกังวลใจไม่น้อยที่เขาเร่งรัดให้เธอแต่งงานด้วย
“แต่นนท์ร้อนใจ...
นนท์สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้น่ะอร
เหมือนมีบางอย่างบอกว่าอีกไม่นานอรจะไปเป็นของคนอื่น”
นนท์ประวิธพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเหมือนคนกำลังสิ้นหวัง
เขารักเธอและขอเธอแต่งงานมาหลายครั้ง
แต่ก็ถูกปฏิเสธมาตลอดจนเขารู้สึกกลัวว่าใครจะมาคว้าตัวเธอไปเสียก่อน
“ฮื้อ...
นนท์คิดมากไปแล้วนะ อรก็อยู่กับนนท์ทุกวันแทบจะทั้งวันด้วยซ้ำ
ไม่เห็นจะมีคนอื่นที่ไหนมายุ่งวุ่นวายกับอรเลย”
หญิงสาวยังคงหว่านล้อมปลอบใจอีกฝ่ายให้คลายความกังวล แม้จะอดขำเล็กๆ
ไม่ได้กับลางสังหรณ์ของเขา เธอจะมีคนอื่นได้อย่างไร
ในเมื่อเธอไม่คิดจะมองใครนอกจากงานที่เธอรักและความฝันของเธอ
“ไม่รู้สิ
ใจมันหวิวๆ แปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ นนท์ไม่สบายใจเลย” ชายหนุ่มบองเสียงเศร้า
ความรู้สึกท้อแท้และหดหู่ฉายชัดอยู่ในแววตาคมของเขา
“น่า... ไม่มีอะไรหรอก นนท์ไม่ต้องคิดมากเลย อรก็ยังเป็นอรเหมือนเดิม” อรณิชาแตะฝ่ามือกับลำแขนของเขาเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
“เป็นคนที่นนท์รัก
และรักนนท์ด้วยใช่ไหม” นนท์ประวิธทำเสียงเข้มจริงจัง
ขณะยกมืออีกข้างขึ้นมาวางทับฝ่ามือบางของเธอเอาไว้เพื่อยืนยันคำพูด
“แน่นอนค่ะ
เอาละ... อย่าคิดมาก พรุ่งนี้เจอกัน”
หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยคำว่ารักกับเขา พลางดึงมือกลับมาอย่างนุ่มนวล
ก่อนจะหันไปเปิดประตูแล้วก้าวเท้าลงไปยืนที่ข้างตัวรถ
“ครับ
พรุ่งนี้นนท์มารับนะ”
แม้จะผิดหวังที่หญิงสาวไม่เคยพูดคำว่ารักให้เขาได้ยินเลยสักครั้ง
แต่เขาก็ยังยินดีที่จะรอฟังคำนั้นจากปากเธอ
“ค่ะ
ขับรถดีๆ นะคะ” อรณิชาโบกมือให้ชายหนุ่ม
และยืนมองจนรถของเขาแล่นไกลออกไปเธอจึงหมุนตัวเดินเข้าประตูบ้าน
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ
ระหว่างเดินเข้าสู่ตัวบ้านด้วยความรู้สึกที่เหนื่อยล้าทั้งกายใจ
หลายวันมานี้นนท์ประวิธรบเร้าเรื่องแต่งงานกับเธอเหลือเกิน
จนเธอไม่รู้จะหาคำใดๆ มาเป็นข้ออ้างปฏิเสธเขาได้อีกแล้ว
เห็นทีเธอคงต้องหาเวลาปรับความเข้าใจและบอกความรู้สึกของตัวเองกับเขาตรงๆ
จะดีกว่า
“มีอะไรหรือเปล่า แม่เห็นรถจอดตั้งนานแน่ะกว่าลูกจะลงมา” คุณนายมณีนุชเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวเดินเข้ามาใกล้
“อุ๊ย! คุณแม่ อรตกใจหมดเลย ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” คนใจลอยสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นมารดายืนอยู่ที่ซุ้มไม้เลื้อยก่อนถึงตัวบ้าน
“ก็แม่เห็นรถตานนท์มาจอดหน้าบ้าน
แต่ไม่เห็นหนูลงมาสักทีแม่ก็เลยเดินมาดูน่ะ” คนเป็นแม่บอกยิ้มๆ
พลางยกมือขึ้นลูบผมของบุตรสาวอย่างอ่อนโยน
“เอ่อ...
พอดีนนท์ชวนคุยเรื่องงานนิดหน่อยน่ะค่ะคุณแม่” อรณิชายิ้มเจือน
เธอไม่ได้อยากโกหกแต่เพราะไม่ต้องการให้เรื่องราวมันวุ่นวายมากไปกว่านี้หากแม่ของเธอรู้ว่านนท์ประวิธขอเธอแต่งงาน
รับรองว่างานแต่งงานระหว่างเธอกับเขาจะต้องเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน
ด้วยเพราะมารดาของเธอมีความพอใจในตัวนนท์ประวิธอยู่ก่อนแล้ว
“อ่อจ้ะ งั้นเรารีบเข้าบ้านกันดีกว่า คุณพ่อรอทานข้าวแล้ว”
“ค่ะคุณแม่”
คุณนายมณีนุชจูงมือบุตรสาวเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
นางรู้สึกเป็นปลื้มไม่น้อยที่นนท์ประวิธมาขอคบหาดูใจกับลูกสาวของนางอย่างเปิดเผย
แม้จะเป็นเพื่อนกันมานานแต่เขาก็ไม่เคยฉวยโอกาสหรือล่วงเกินบุตรสาวของนางเลยสักครั้ง
“มีความสุขอะไรนักหนา
เห็นยิ้มหน้าบานทั้งแม่ทั้งลูกเชียว”
นายแพทย์สินชัยประมุขใหญ่ของบ้านพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจทันทีที่เห็นคนเป็นภรรยาและบุตรสาวเดินเข้ามาในบ้านด้วยรอยยิ้มชอบใจ
เพราะเขารู้ดีว่ามันเกิดมาจากอะไร
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ
อรคิดถึ๊ง... คิดถึงคุณพ่อที่สุดเลยค่ะ”
อรณิชาส่งเสียงหวานรีบปรี่เข้าไปกอดแขนคนเป็นพ่ออย่างเอาใจ
เธอรู้ดีว่าท่านไม่ชอบที่เธอคบหากับนนท์ประวิธ
ผิดกับมารดาที่ท่านทั้งยินดีและเต็มใจให้เธอคบกับเขาอย่างเปิดเผย
“ไม่ต้องมาทำเป็นออดอ้อนกับพ่อเลย
รถเราก็มีจะให้มันตามรับตามส่งทำไมกัน”
คนเป็นพ่อมีท่าทีอ่อนลงเมื่อเจอคำหวานของบุตรสาวอันเป็นที่รัก
แต่ยังคงตวัดเสียงดุเล็กๆ อย่างนึกฉุนเมื่อพูดถึงสิ่งที่ขัดใจ
“โถ่...
คุณสิน ไม่เห็นจะต้องโกรธเลยค่ะ
เด็กเขาชอบพอกันก็ต้องมีมารับมาส่งกันบ้างเป็นธรรมดา”
คุณนายมณีนุชแก้ตัวให้บุตรสาว
แต่เหมือนเป็นการเปิดทางกับฝ่ายชายอย่างชัดเจนในสายตาของคนเป็นสามี
“คุณนุชก็อีกคน ผมเห็นเข้าข้างลูกทุกทีโดยเฉพาะกับเรื่องไอ้นนท์อะไรนั่นน่ะ” นายแพทย์สินชัยต่อว่าภรรยาอย่างไม่จริงจังนัก
“ลูกก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะคุณสิน
แค่มารับมาส่งกันแค่นั้นเองค่ะ”
คนเป็นภรรยาส่งค้อนวงใหญ่ให้กับสามีก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างกายบุตรสาว
“งั้นอรขอตัวเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ”
อรณิชาเห็นท่าไม่ดี
รีบหลบออกไปจากตรงนี้ก่อนจะโดนคนเป็นพ่อต่อว่าตักเตือนเรื่องของนนท์ประวิธอีก
เพราะเธอฟังเกือบทุกวันจนแทบจะจำได้ ว่าท่านทั้งไม่ชอบ ไม่พอใจ
และไม่เห็นด้วยกับการคบกันระหว่างเธอกับแฟนหนุ่ม
“จ้ะลูก
แล้วรีบลงมานะ ได้เวลาทานข้าวแล้ว”
คุณนายมณีนุชรีบเอ่ยอนุญาตเพื่อปกป้องลูกสาวสุดที่รักไม่ให้โดนคนเป็นพ่อต่อว่ามากไปกว่านี้
“ค่ะคุณแม่
เดี๋ยวอรมานะคะคุณพ่อ”
เจ้าหญิงเพียงคนเดียวของบ้านหันไปหอมแก้มคนเป็นแม่เพื่อขอบคุณที่รู้ใจ
และอีกฟอดใหญ่ให้กับพ่อของเธอเป็นการเอาใจ
ก่อนจะลุกแล้วเดินขึ้นข้างบนไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข
ครอบครัวของเธอมีกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก
เธอได้รับทั้งความรักความอบอุ่นจากบุพการีอย่างมากล้นจนเธอรู้สึกว่าเธอโชคดีกว่าใครๆ
ที่มีครอบครัวที่แสนอบอุ่นและสมบูรณ์แบบนี้
No comments:
Post a Comment