Wednesday, July 18, 2018

ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ ตอนที่ 2 คำสั่งวิวาห์

ตอนที่ 2 คำสั่งวิวาห์



                บ้านเรือนไทยไม้สักทองทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ในแถบชานเมือง เป็นบ้านของนายแพทย์สินชัย วรโชติ ที่มีต้นตระกูลเป็นหมอตั้งแต่สมัยโบราณสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งแววล้อมโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้ไทยนานาชนิดทั้งน้อยใหญ่เรียงรายสลับกันไป ทำให้เรือนไทยเดิมหลังนี้ยิ่งดูสวยสดงดงามและสงบร่มรื่นดังเช่นในอีดตไม่เสิ่อมคลาย

แสงแดดอ่อนๆ ในตอนสาย สาดส่องบ้านไม้เรือนไทยให้ดูเรืองรองเหมือนขุมทรัพย์กลางป่าเขา นายแพทย์สูงวัยประมุขใหญ่ของบ้านกำลังนั่งจิบน้ำชาอุ่นๆ จากถ้วยเบญจรงค์ใบสวยอยู่ในมุมโปรดกับภรรยาที่ถึงแม้วัยจะล่วงเลยไปกว่าค่อนอายุคน แต่ก็ยังดูสวยงดงามตามแบบฉบับผู้หญิงไทยไม่เคยเปลี่ยน สองสามีภรรยานั่งคุยกันไปพลางๆ เพื่อรอแขกคนสำคัญที่กำลังจะเดินทางมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

รอเพียงไม่นานรถตู้สีบลอนด์คันใหญ่ก็เลี้ยวเข้ามายังบริเวณบ้านและจอดนิ่งสนิทเทียบหน้าบรรไดทางขึ้นเรือนไทยของนายแพทย์ชื่อดัง คุณหญิงเพ็ญพักตร์และคุณนายกมลวรรณก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับสบตากันอย่างนึกชื่นชมในความเป็นธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และความสวยงามของเรือนไม้สักทองที่คงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยไว้อย่างเหนียวแน่น

“สวัสดีครับคุณวรรณ” นายแพทย์สินชัยเจ้าของบ้านเดินออกมาที่ระเบียงเพื่อทักทายแขกผู้มาเยือน เมื่อเห็นว่ารถจอดนานแล้วแต่ยังไม่มีใครขึ้นเรือนไปสักที

“อ้ะ สวัสดีค่ะคุณสิน ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีมัวแต่ยืนชื่นชมความสวยงามจนไม่ทันเห็นเจ้าของบ้านน่ะค่ะ” คุณนายกมลวรรณละสายตาจากธรรมชาติรอบตัว ก่อนจะหันมาตอบรับเจ้าของบ้านที่เป็นเพื่อนเก่าด้วยรอยยิ้มยินดี

“ก็เป็นอย่างนี้กันทุกคนแหละครับ บางคนยืนชื่นชมธรรมชาติจนลืมดื่มน้ำดื่มท่ากันเลยก็มี มาๆ เชิญขึ้นเรือนก่อนครับ” เจ้าของบ้านพูดอย่างไม่เคอะเขิน เพราะบ้านไม้เรือนไทยของเขาทั้งสวยและคงความเป็นธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ

“ค่ะๆ ขอบคุณค่ะ” คุณนายกมลวรรณรับคำพลางยื่นมือไปแตะแขนของคุณหญิงเพ็ญพักตร์ให้เดินขึ้นเรือนไปด้วยกัน

เมื่อขึ้นมาบนเรือนแล้วทั้งหมดจึงทักทายทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ โดยคุณนายกมลวรรณแนะนำให้นายแพทย์สินชัยได้รู้จักกับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ที่เป็นทั้งเพื่อนรุ่นพี่และญาติสนิท ก่อนที่ฝ่ายเจ้าของบ้านจะแนะนำคุณนายมณีนุชผู้เป็นภรรยาให้กับแขกทั้งสองได้รู้จักด้วยเช่นกัน ทั้งหมดพูดคุยถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบกันสักพัก จากนั้นแขกผู้มาเยือนจึงเอื้อนเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาพบในวันนี้กับเจ้าของบ้าน

“ดิฉันจะไม่อ้อมค้อมนะคะคุณสิน เราก็เป็นเพื่อนกันมานานและยังทำธุรกิจร่วมกันอีกด้วย” คุณนายกมลวรรณพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมกับส่งรอยยิ้มจริงใจให้อีกฝ่ายอย่างเปิดเผย

“ครับคุณวรรณ มีอะไรก็พูดกันตรงๆ ได้เลย ผมยินดีรับฟังอยู่แล้ว” นายแพทย์สินชัยตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ในใจจะนึกหวั่นอยู่บ้างที่จู่ๆ คนที่เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนก็มาขอพบที่บ้านซึ่งเป็นสถานที่ส่วนตัวแบบนี้

“เอ่อ... คือ วันนี้ดิฉันจะมาทาบทามสู่ขอบุตรสาวของคุณสินให้กับลูกชายคนโตของดิฉันน่ะค่ะ” น้ำเสียงที่ราบเรียบนุ่มนวลแต่แฝงไปด้วยความมั่นคงและหนักแน่นของคุณนายกมลวรรณบ่งบอกว่าสิ่งที่พูดนั้นไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

“ห๊า!... ว่าอะไรนะครับ” สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านร้องลั่นด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมองสบตากันไปมาอย่างคาดไม่ถึง

“คุณสินกับคุณนุชได้ยินไม่ผิดหรอกค่ะ ดิฉันมาสู่ขอลูกสาวของคุณให้กับตาวิทลูกชายคนโตของดิฉันค่ะ” คนเป็นแขกย้ำช้าๆ และชัดๆ ให้กับเจ้าของบ้านที่ยังคงนิ่งอึ้งเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักได้ฟังอีกครั้งอย่างชัดเจน

“หมอวิทยา น่ะเหรอครับ” นายแพทย์สินชัยถามพร้อมทั้งนึกไปถึงหมอหนุ่มไฟแรงที่มากความสามารถซึ่งเขาเคยคิดอยากจะได้มาเป็นลูกเขย และยังจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเขาเคยพูดทีเล่นทีจริงกับอีกฝ่ายมาแล้วตอนที่ตกลงทำสัญญาก่อตั้งโรงพยาบาลร่วมกัน

“ใช่ค่ะ ตอนนี้ตาวิทกลับมาจากเมืองนอกแล้ว ดิฉันก็อยากให้ลูกมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาสักที” คุณนายกมลวรรณยิ้มกว้างด้วยความดีใจที่คนตรงหน้ามีท่าทีเอ็นดูบุตรชายของนางไม่น้อย

“แล้วตอนนี้เจ้าตัวเขารู้หรือยัง ว่าคุณวรรณมาสู่ขอลูกสาวผมให้กับเขาน่ะครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยถามเพื่อประกอบการตัดสินใจ เขาเองก็ใช่ว่าจะรังเกียจอีกฝ่าย จริงๆ แล้วเขาออกจะเต็มใจด้วยซ้ำที่จะได้ชายหนุ่มมากความสามารถในสายงานอาชีพเดียวกับเขามาเป็นลูกเขย แต่อย่างไรก็ตามผู้ชายคนนั้นจะต้องรักบุตรสาวของเขาด้วย

“ยังค่ะ... ดิฉันร้อนใจเลยปรึกษากับคุณหญิงเพ็ญพักตร์แล้วก็พากันมาทาบทามพูดคุยกับทางนี้ก่อน” ผู้มีอำนาจตัดสินใจของฝ่ายชายบอกด้วยน้ำเสียงนอบน้อมจริงใจพร้อมให้คำอธิบายอย่างตรงไปตรงมา

“หือ... ฟังดูแปลกๆ อย่างนี้ก็เท่ากับว่าคลุมถุงชนน่ะสิคะ” คุณนายของบ้านเรือนไทยที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยแย้งขึ้นมาด้วยความคลางแคลงใจในการกระทำของอีกฝ่ายที่มาสู่ขอบุตรสาวของนางในครั้งนี้

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ที่ผู้ใหญ่อย่างพวกเราทำไปก็เพราะหวังดีอยากให้ลูกหลานได้มีครอบครัวที่ดีเจอคู่ครองที่เหมาะสมกัน... จริงไหมคะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ที่อาวุโสกว่าใครกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจหวังให้การเจรจาในครั้งนี้เป็นผลสำเร็จ

“ผมยินดีนะครับคุณวรรณ คุณหญิง ตัวผมเองก็มีความชื่นชอบชมเชยในตัวหมอวิทยามาตั้งนานแล้ว เคยหวังอยากจะได้มาเป็นลูกเขย เพื่อสานต่อธุรกิจโรงพยาบาลของเราและยังคงสืบสายเลือดของตระกูลหมอที่เก่าแก่นี้ต่อไป” นายแพทย์สินชัยพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเปิดเผย ทำให้แขกผู้มาเยือนรู้สึกเป็นปลื้มและดีใจกับความสำเร็จ

“คุณสินพูดจริงๆ หรือคะ” คุณนายกมลวรรณถามย้ำเพื่อความแน่ใจ ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด

“ครับ ผมยินดี” ประมุขใหญ่ของบ้านเรือนไทยกล่าวย้ำชัดๆ อีกครั้งด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดีอย่างปากว่า

“คุณสิน น้องว่าถามความสมัครใจของลูกเราก่อนดีกว่านะคะ อย่าเพิ่งตัดสินใจเลยค่ะ” คุณนายมณีนุชแตะมือที่แขนของสามีเบาๆ เพื่อเตือนสติ เพราะนางเองไม่อยากฝืนใจบุตรสาวในการเลือกคู่ครอง หากจะต้องแต่งงานนางอยากให้ลูกสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักนั้นมีความสุขไปตลอดชีวิต

“ไม่เป็นไรน่า... เรื่องนี้ผมจัดการเอง เพราะยังไงผมก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกสาวของเราอยู่แล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วง” นายแพทย์สินชัยหันมาตอบภรรยาให้คลายกังวล

“เอ่อ... ตอนนี้หนูอรณิชาไม่ได้คบกับใครอยู่ใช่ไหมคะ” คุณนายกมลวรรณเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เพราะรู้ดีว่าเป็นคำถามที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย

“คบค่ะ... ยัยอรกำลังคบหาดูใจกับเพื่อนชายที่สนิทกันตั้งแต่ตอนเรียนจนกระทั่งมาทำงานด้วยกัน ดิฉันคิดว่าลูกต้องไม่ยอมแน่ๆ ค่ะ” คุณนายมณีนุชตอบตามความเป็นจริง และนางเองก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจคลุมถุงชนของบุตรสาวในครั้งนี้ด้วย

“ถ้าอย่างนั้นจะไม่ยุ่งยากหรือคะเนี่ย” คนเป็นแขกเปรยออกมาด้วยสีหน้าเจือนลงไปเล็กน้อย เพราะคงไม่ดีแน่หากบุตรชายของนางจะต้องไปแย่งชิงของรักของใครมา

“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เด็กๆ ก็คบกันตามประสาเพื่อนนั่นแหละ ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นจริงๆ ครับ ลูกสาวผม... ผมเข้าใจดี” นายแพทย์สินชัยบอกด้วยความมั่นใจ เขารู้ดีว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขานั้นคิดกับเพื่อนชายคนนี้อย่างไร

“แต่คุณสินคะ...” คุณนายมณีนุชเตรียมจะคัดค้านแต่คนเป็นสามีที่รู้ใจจึงเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“เอาน่า... คุณนุช เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง รับรองว่าลูกสาวของเราต้องยอมด้วยความเต็มใจอย่างแน่นอน” คนเป็นสามีหันมาพูดกับภรรยาด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปถามอีกฝ่าย

“ว่าแต่หมอวิทของคุณวรรณเถอะรายนั้นเขากำลังคบหาอยู่กับใครหรือเปล่า” ได้ทีผู้ปกครองฝ่ายหญิงจึงถามขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าหากจะให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาไปแย่งชิงคนรักของใครมาเขาเองก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

“ไม่มีแน่นอนค่ะ ดิฉันรับประกันได้ ตาวิทน่ะเอาแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาไปมองใคร ดิฉันก็กลัวลูกจะเป็นโสดจนแก่ตายถึงต้องมาสู่ขอบุตรสาวของคุณสินนี่แหละค่ะ ขืนรอให้ไปหาเองชาตินี้คงไม่มีแน่”

“ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าเราจะลิขิตรักให้เด็กสองคน ด้วยคำสั่งวิวาห์ของพวกเรากันนะคะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่หมายมั่นตั้งใจให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจกันทั้งสองฝ่าย

“ครับ... ผมขอเวลาคุยกับลูกสักสามวัน แล้วผมจะให้คำตอบที่ไม่มีทางผิดหวังอย่างแน่นอนครับ” นายแพทย์สินชัยรับคำด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“ค่ะ... ดิฉันก็หวังอย่างนั้น” คุณนายกมลวรรณยิ้มตอบด้วยความดีใจและเต็มใจไม่แพ้กัน

หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดจึงนั่งปรึกษาหารือกันถึงแผนการที่จะนำพาหนุ่มสาวทั้งสองให้เข้าสู่ประตูวิวาห์ได้สำเร็จ โดยต่างฝ่ายต่างก็เลือกที่จะหยิบยื่นข้อเสนอที่ลูกของตัวเองต้องการเป็นตัวล่อ หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับฟ้าดินที่จะลิขิตขีดเขียนเส้นทางชีวิตคู่ของคนทั้งสองว่าจะไปในทิศทางใดก็สุดแท้แต่บุญกรรมที่ได้ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนเป็นผู้ชักนำต่อไป

เมื่อแขกผู้มาเยือนด้วยเรื่องสำคัญกลับไปแล้ว สองสามีภรรยาแห่งบ้านเรือนไทยยังนั่งปรึกษาพูดคุยกันอยู่ที่เดิมด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน

“คุณสิน คุณจะทำอย่างนี้จริงๆ หรือคะ น้องสงสารลูกค่ะ” คนเป็นภรรยาเอ่ยถามสามีด้วยความกังวลใจ

“ผมว่าหมอวิทยาเขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนะคุณ ออกจะเป็นคนดีด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเคยได้ยินมา หมอวิทเขาทั้งหน้าตาดี มีความประพฤติดี แถมหน้าที่การงานก็ดี มีฐานะมั่นคง อายุอานามเขาก็ไม่ได้มากมายอะไรด้วย” นายแพทย์สินชัยออกความเห็นในทางที่ดีเพื่อโน้มน้าวจิตใจของคนเป็นภรรยาให้เห็นถึงความเหมาะสมของว่าที่บุตรเขยที่เขาเลือก

“แต่ทั้งสองคนยังไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ จู่ๆ จะให้มาแต่งงานกัน น้องว่าจะไปกันรอดหรือคะ” ด้วยความเป็นแม่จึงอดไม่ได้ที่จะกังวลถึงชีวิตครอบครัวของบุตรสาวในอนาคต

“แต่งๆ กันไปเดี๋ยวความใกล้ชิดก็ทำให้ทั้งคู่รักกันไปเอง อย่าลืมสิ คุณกับผมก็ถูกผู้ใหญ่จับคู่ให้เหมือนกัน เรายังครองรักกันจนถึงทุกวันนี้เลย” นายแพทย์สินชัยพูดพลางส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้คนเป็นภรรยาอย่างเปิดเผย พร้อมกับฉวยมือนุ่มนิ่มขึ้นมาบีบเบาๆ เพื่อปลอบใจ

“แหม่ สมัยนั้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกันนี่คะ... ยัยหนูต้องไม่ยอมแน่ๆ เลยค่ะ คุณสัญญาได้ไหมว่าจะไม่บังคับหักหาญน้ำใจลูก” คุณนายมณีนุชส่งค้อนให้สามีอย่างอายๆ ก่อนจะเอ่ยปากพูดเป็นเชิงขอร้อง

“น่า... ผมรู้ เชื่อมือผมสิ รับรองลูกต้องยอมด้วยความสมัครใจ” ประมุขของบ้านบอกอย่างหมายมั่น เมื่อนึกถึงแผนการที่ตัวเองคิดเอาไว้แล้ว

“หือ... หรือว่าคุณมีแผนอะไรอยู่ในใจแล้วคะ” คนเป็นภรรยาหันไปสบตาสามีอย่างคาดคั้น

“แน่นอน ไม่งั้นผมคงไม่มั่นใจขนาดนี้หรอก” คนมีแผนบอกออกไปอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะอธิบายถึงแผนการณ์ที่ตัวเองคิดไว้ให้กับภรรยาได้รู้ เพื่อจะได้เตรียมตัวนัดหมายกันเอาไว้ก่อน

หลังกลับมาจากบ้านเรือนไทยของเพื่อนเก่าแล้ว คุณนายกมลวรรณกับคุณหญิงเพ็ญพักตร์ก็นั่งปรึกษาพูดคุยกันอยู่เพียงครู่ ก่อนจะได้ข้อตกลงและแผนการณ์ที่แนบเนียนเหมาะสมที่สุดสำหรับหลอกล่อให้หมอหนุ่มยอมตกลงแต่งงาน จากนั้นก็ยกหน้าที่ทั้งหมดให้กับคนเป็นแม่ที่จะต้องเป็นคนดำเนินการณ์ตามแผนที่วางเอาไว้ต่อไป

โดยวันต่อมาคุณนายกมลวรรณเริ่มต้นกระทำตามแผนด้วยการให้บุตรสาวคนเล็กที่ปัจจุบันยังคงเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านโทรไปตามสามีที่เป็นทั้งลูกเขยและทนายความประจำตัวของนางให้กลับมาทานอาหารกลางวันที่บ้าน เพื่อจะได้พูดคุยได้อย่างสะดวก เพราะบุตรชายคนโตที่เป็นหมากตัวสำคัญนั้นออกไปทำงานตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับก็คงเย็นค่ำ

เมื่อเล่าแผนการณ์และสิ่งที่คิดจะทำให้กับบุตรสาวและบุตรเขยฟังแล้ว แม้จะได้รับความหวาดหวั่นจากคนฟังทั้งสอง แต่นางก็เชื่อมั่นในตัวเองกว่าครึ่งว่าบุตรชายคนโตจะต้องเชื่อฟังและยอมทำตามสิ่งที่นางต้องการอย่างแน่นอน ดังนั้น ในตอนเย็นลูกสาวคนเล็กและลูกเขยรวมถึงหลานสาวตัวน้อยจึงพากันออกไปรับประทานอาหารค่ำข้างนอกบ้าน เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คนเป็นแม่ได้พูดคุยเรื่องสำคัญกับลูกชายคนโตได้อย่างสะดวก

“ทำไมนั่งอยู่คนเดียวล่ะครับคุณแม่ ทุกคนไปไหนกันหมด” วิทยาก้าวเข้ามาในบ้านก็เอ่ยถามมารดาทันที ด้วยเพราะปกติจะเห็นคนเป็นน้องกับหลานสาวตัวน้อยนั่งเล่นอยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ แต่วันนี้กลับไม่เห็นใครสักคน

“อ่อ เขาพากันออกไปกินข้าวนอกบ้านน่ะ อยากพาทิชาไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกบ้าง” คนเป็นแม่บอกพลางพับปิดหนังสือในมือแล้วหันไปวางบนโต๊ะข้างตัว

“ก็ดีครับ การออกไปนอกบ้านบ้างจะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น” คนเป็นหมอพูดด้วยความรู้และประสบการณ์ที่มีในสายอาชีพของตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับมารดา วันนี้ถ้าเขาเดาไม่ผิดคนเป็นแม่จะต้องมีเรื่องอะไรคุยกับเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่มานั่งทำทีเหมือนรอเขาแบบนี้หรอก ปกติท่านต้องอยู่ในครัวหรือไม่ก็ไปเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ที่สวนหลังบ้านมากกว่า

“สองคนนั้นเขาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะตากร รายนั้นขยันพาเมียพาลูกออกจากบ้านแทบทุกวันไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย” คุณนายกมลวรรณเปรยออกมาด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขเมื่อนึกถึงครอบครัวที่รักใคร่อบอุ่นของลูกสาวคนเล็ก

“คุณกรเป็นคนดีและรักครอบครัวมากนะครับคุณแม่” วิทยาเห็นด้วยกับคำพูดของมารดา เพราะเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทินกรทำหน้าที่เป็นทั้งเขยที่ดี สามีที่ดี และเป็นพ่อที่ดีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง นับว่าพิชามลน้องสาวของเขาโชคดีมากที่ได้ผู้ชายคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต

“ใช่... แล้ววิทล่ะ คิดจะมีครอบครัวกับเขาบ้างไหม อายุไม่ใช้น้อยๆ แล้วนะลูก” คนเป็นแม่ลองหยั่งเชิงถามความคิดเห็นของบุตรชายอย่างตรงไปตรงมา

“ผม... เอ่อ... ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับคุณแม่” วิทยาอ้ำอึ้งตอบมารดาอย่างไม่เต็มเสียงนัก จริงอยู่ที่เขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้วกับความเจ็บปวดจากรักครั้งเก่า แต่เขาก็ยังไม่คิดจะมีใคร หรือรับใครเข้ามาในหัวใจอยู่ดี

“วิทยังทำใจเรื่องหนูแพรไม่ได้หรือลูก” คำถามที่ดูเป็นกังวลและแฝงไปด้วยความห่วงใยของมารดา ทำให้คนเป็นลูกหันมองสบตาท่านด้วยความรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้ท่านต้องคิดมากและไม่สบายใจจนถึงทุกวันนี้

“ไม่ใช่ครับคุณแม่ ผมไม่ได้รู้สึกกับน้องแพรแบบนั้นอีกแล้ว” แม้จะยังรักเธออยู่มากแต่เมื่อไม่ได้ครอบครองเขาก็ขอเก็บเธอไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเท่านั้นก็พอแล้ว สำหรับพี่ชายที่แสนดีอย่างเขา

“งั้นแม่ก็สบายใจ แม่น่ะไม่อยากเห็นลูกเป็นทุกข์และหมกมุ่นแต่การทำงานจนลืมคิดถึงความสุขของตัวเอง”

“คุณแม่ต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่ครับ” วิทยาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่คนเป็นแม่ต้องการจะสื่อ ประกอบกับคำพูดที่แสดงถึงความห่วงใยของมารดานั้นก็ฟังดูแปลกๆ ในความรู้สึกของเขายิ่งนัก

“แม่มีบางอย่างจะให้ลูกน่ะ” คุณนายกมลวรรณพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะหันไปหยิบซองสีน้ำตาลที่มีเอกสารสำคัญอยู่ข้างในยื่นให้กับบุตรชายอย่างอ่อนโยน วิทยารับซองนั้นมาถือไว้ขณะส่งสายตาเป็นเชิงถามไปให้มารดาของเขา

“เปิดดูสิ...” คนเป็นแม่ออกคำสั่งเบาๆ เมื่อเห็นว่าลูกชายสุดที่รักยังคงนั่งมองเอกสารในมือนิ่งงัน
ทันทีที่มือหนาหยิบเอกสารในซองออกมาเปิดอ่าน ‘โรงพยาบาลสินกมล’ เป็นคำแรกที่เขาอ่าน ใบหน้าหล่อเหลาของหมอหนุ่มก็ปรากฏรอยยิ้มเต็มวงหน้าด้วยความดีใจอย่างเปี่ยมล้น เนื่องจากเอกสารเหล่านี้เป็นสัญญาฉบับหนึ่งที่บ่งบอกว่าเขากำลังจะมีโรงพยาบาลเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของเขา

“ยังไงกันครับคุณแม่” วิทยาเอ่ยถามถึงที่มาที่ไปของสัญญาฉบับนี้กับมารดาด้วยความตื่นเต้นดีใจจนปิดไม่มิด

“ลูกจำคุณลุงสินชัยเพื่อนของแม่ได้ไหม” คนเป็นแม่ไม่ตอบแต่เลือกที่จะถามคำถามสำคัญกลับไป วิทยาทำท่าครุ่นคิดไม่นานก็นึกขึ้นได้

“คุณลุงสินชัย... นายแพทย์สินชัย วรโชติ หรือเปล่าครับ”

“ใช่จ้ะ...”

“ครับ ผมจำได้แม่นทีเดียว เพราะมีท่านเป็นแรงบันดาลใจผมถึงอยากเป็นหมอให้ได้เหมือนกับท่าน” หมอหนุ่มกล่าวถึงผู้อาวุโสที่เป็นไอดอลของเขาอย่างนอบน้อม ซึ่งคำตอบของบุตรชายนั้นทำให้คนเป็นแม่ยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ

“ตอนลูกไปเรียนเพิ่มเติมที่อังกฤษน่ะ คุณสินเขาชวนแม่ก่อตั้งโรงพยาบาลด้วยกัน และแม่ก็เห็นว่าสิ่งนี้เป็นความฝันของลูก แม่ก็เลยตกลงร่วมลงทุนกับเขา และตอนนี้โรงพยาบาลสินกมลก็เปิดดำเนินการมาได้เกือบ 1 ปีแล้ว ด้วยการบริหารงานของคุณสิน”

“ครับคุณแม่” วิทยาตอบรับมารดาเป็นเชิงว่ารับรู้และเข้าใจ มือหนายังคงพลิกหน้ากระดาษเปิดไปเรื่อยๆ ก็เจอกับชื่อของนายแพทย์สินชัย วรโชติที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ร่วมกับแม่ของเขา หมอหนุ่มอ่านรายละเอียดตรงนั้นอย่างตั้งใจ ก่อนจะนิ่งฟังคำพูดต่อไปของมารดา

“แม่รอให้วิทกลับมาเพื่อจะมอบหุ้นส่วนทั้งหมดของแม่ให้กับลูก”

“ขอบคุณครับคุณแม่” คนเป็นลูกขยับตัวลงจากเก้าอี้แล้วก้มกราบที่ตักของมารดาด้วยความซาบซึ้งใจ

“แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แม่อยากจะบอกวิทและอยากให้วิททำเพื่อแม่” คุณนายกมลวรรณว่าพลางจับไหล่หนาของบุตรชายให้ลุกขึ้นมานั่งเคียงข้างเพื่อฟังสิ่งสำคัญที่นางกำลังจะบอก

“อะไรหรือครับ” วิทยาขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย แต่ภายในใจนั้นเขายินดีและเต็มใจทำในสิ่งที่มารดาต้องการอยู่แล้ว หากสิ่งนั้นจะทำให้ท่านมีความสุข

“แม่กับคุณสินเราสัญญากันไว้ว่า หากวิทกลับมาจากเมืองนอกแล้ว ลูกต้องแต่งงานกับลูกสาวของเขา” แม้จะเป็นการโกหกแต่คนเป็นแม่ก็พูดได้ชัดถ้อยชัดคำไม่มีสะดุด เพราะก่อนจะมาพูดนั้นนางได้ซักซ้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว

“ห๊า!... อะไรนะครับคุณแม่” คนฟังร้องออกมาด้วยความตกใจ กายแกร่งขยับออกห่างมารดาทันทีเพื่อมองหน้าท่านให้ชัดๆ ว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่ก็ไม่พบรอยยิ้มหรือพิรุธใดๆ ที่บ่งบอกว่าเขาฟังผิดหรือเป็นการล้อเล่นแต่อย่างใด

“วิท... เชื่อแม่สักครั้งเถอะนะลูก” คนเป็นแม่เอื้อมมือไปแตะที่ไหล่หนาของบุตรชาย พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนไปให้อย่างขอความเห็นใจ

“ผมไม่นึกว่าคุณแม่จะมีความคิดแบบนี้กับผมด้วย” ริมฝีปากหยักสวยได้รูปเปล่งเสียงออกมาอย่างตัดพ้อ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองพื้นด้วยไม่อยากเห็นสายตาที่วิงวอนร้องขอของมารดา เขาคาดไม่ถึงว่าคนเป็นแม่จะมีความคิดคลุมถุงชนกับเขาอีก เมื่อครั้งน้องสาวที่คุณแม่ทำพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาคิดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะล้มเลิกความคิดเหล่านี้ของท่านออกไปได้แล้ว แต่ทำไมถึงกลับมาทำกับเขาอีก

“วิท... ที่แม่ทำไปก็เพราะรักลูกเป็นห่วงลูก อยากให้ลูกได้มีชีวิตครอบครัวที่ดีพร้อมเหมาะสม”

“ด้วยการบังคับให้ผมแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักอย่างนั้นหรือครับ”

“วิท... คือ... แม่” เมื่อเจอคำพูดตัดพ้อของบุตรชายทำให้คนเป็นแม่อ้ำอึ้งอึกอักจนพูดอะไรไม่ออก

“แล้วถ้าผมไม่ยอมล่ะครับ” วิทยาลองหยั่งเชิงถามมารดาด้วยน้ำเสียงที่แข็งเล็กน้อย

“แม่ก็จะกลายเป็นคนผิดสัญญา ผิดคำพูดนะลูก ฝ่ายหญิงเขาก็เสียหายเพราะแม่ไปจองตัวเขาไว้ตั้งหลายปี และอีกอย่างคุณสินเขาก็เปรยกับแม่ว่า ปีหน้าเขาก็เกษียณแล้วคงดูแลกิจการโรงพยาบาลไม่ไหว หากได้วิทไปเป็นลูกเขยวิทจะได้ดูแลบริหารตรงนี้แทนเขา ไม่ต้องไปจ้างคนนอกมาบริหาร ซึ่งก็หาคนไว้ใจได้ยาก” คนเป็นแม่พยายามหาเหตุผลมาหว่านล้อมโน้มน้าวบุตรชายจนสุดความสามารถ

“คุณแม่พอจะมีทางเลือกให้ผมบ้างไหมครับ” คราวนี้น้ำเสียงของหมอหนุ่มดูอ่อนลงด้วยอับจนหนทางกับเหตุผลของคนเป็นแม่ หากเขาไม่ทำตามที่ท่านต้องการ ท่านจะต้องถูกตำหนิและกลายเป็นคนไม่รักษาคำพูด ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบไปถึงกิจการค้าเพชรทองของท่านด้วย หากคนเป็นเจ้าของพูดไม่เป็นคำพูดแบบนี้ แต่หากเขายอมทำตามท่าน เขาเองก็อาจจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เพราะต้องทนอยู่กับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก

“แม่ขอร้องให้ลูกแต่งงานกับน้องสักปีสองปี หากไปกันไม่ได้จริงๆ แม่ก็ยินดีตามใจลูกหากลูกจะขอหย่ากับน้อง” คุณนายกมลวรรณงัดไม้เด็ดในแผนการณ์ขั้นสุดท้ายออกมาต่อรองกับบุตรชาย

“ตกลงปีหรือสองปีกันแน่ครับคุณแม่” หมอหนุ่มหรี่ตามองมารดาอย่างจับผิด เมื่อคนเป็นแม่พูดจาคลุมเครือกับทางเลือกของเขา

“สะ... สองปีจ้ะลูก” คนเป็นแม่ตกใจเล็กน้อยเมื่อเจอคำถามยอกย้อนของบุตรชาย แต่นางก็เลือกระยะเวลาที่นานที่สุดตามที่บอกไป ‘แหม่... เมื่อกี้น่าจะบอกว่าสี่ปีห้าปี ไม่หน้าตั้งเวลาน้อยเลยเรา’

“แล้วถ้าฝ่ายหญิงเขาขอหย่ากับผมก่อนนั้นล่ะครับ” วิทยาเอ่ยออกมา เพราะเขาคิดหาทางออกให้กับตัวเองได้ลางๆ แล้วว่า หากเขาทำตัวให้ฝ่ายหญิงรับไม่ได้จนต้องเป็นฝ่ายไปเอง ชีวิตคู่ของเขากับเธอก็ต้องจบลงโดยไม่ใช่ความผิดของเขาและมารดาด้วย

“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ตัดสินใจไปได้เลยจ้ะ” คุณนายกมลวรรณตอบอย่างเอาใจ เพราะตอนนี้ขอแค่ลูกชายยอมแต่งงานกับคนที่นางเลือกให้เท่านั้นก็พอ ไม่ว่าจะเจอข้อแม้อะไรนางก็ยอมทุกอย่าง

“งั้น... ผมตกลงทำตามที่คุณแม่ต้องการครับ” วิทยาบอกมารดาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

“จริงหรือลูก... แม่ขอบใจวิทมากนะ ที่ไม่ทำให้แม่ต้องกลายเป็นคนผิดคำพูดน่ะ” คนเป็นแม่ละล่ำละลักบอกออกไปด้วยความดีใจจนปิดไม่มิด

“ไม่เป็นไรครับคุณแม่ หากสิ่งที่ผมทำนั้นมันจะทำให้คุณแม่มีความสุข ผมก็ยินดี” คนมีหน้าที่ลูกที่ดีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแกมตัดพ้ออยู่ในที หากแต่คำพูดที่เหมือนเป็นการประชดประชันน้อยๆ ของบุตรชายนั้น ไม่ได้ทำให้ระคายเคืองหัวใจของคนเป็นแม่ที่กำลังดีใจอยู่ตอนนี้เลยสักนิด

“เอ่อ... ผมเซ็นชื่อตรงนี้เลยนะครับ” วิทยาหยิบปากกาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจดจ่อตรงช่องที่มีชื่อของเขากำกับไว้

“จ้ะลูก...” คนเป็นแม่ยิ้มรับ พลางมองบุตรชายที่กำลังเซ็นชื่อของตัวเองลงในเอกสารสัญญาการโอนหุ้นของโรงพยาบาลที่นางให้บุตรเขยเตรียมเอาไว้ให้

“เรียบร้อยแล้วครับ” หมอหนุ่มอ่านเอกสารในมือจนถี่ถ้วนดีแล้วจึงยัดเก็บลงไปในซองตามเดิมแล้วยื่นให้กับมารดาของเขา

“แม่รักลูกนะวิท” คุณนายกมลวรรณรับซองสีน้ำตาลมาวางบนโต๊ะก่อนจะดึงตัวบุตรชายเข้ามาสวมกอดอย่างแสนรัก

“ครับ ผมก็รักคุณแม่” วิทยากอดกระชับร่างอวบอิ่มของคนเป็นแม่ไว้แน่นเพื่อยืนยันคำบอกรักของเขา

“ผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะครับ” หมอหนุ่มขออนุญาต ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของมารดา

“จ้ะลูก แล้วรีบลงมาเลยนะ ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว” คนเป็นแม่ไม่วายเป็นห่วง เพราะกลัวบุตรชายจะคิดมากจนไม่อยากลงมากินข้าวกับนาง

“ครับ” ว่าจบกายแกร่งก็ลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ

คุณนายกมลวรรณถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะเหลือบมองแผ่นหลังของบุตรชายที่ค่อยๆ หายลับไปจนสุดสายตา บางครั้งบุตรชายคนโตของนางก็เป็นคนดื้อเงียบ อาการนิ่งเฉยของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นอาจจะซ่อนไว้ด้วยความคับข้องใจและรอวันสะสางอย่างแน่นอนข้อนี้นางเองก็รู้ดี แต่คนที่บุตรชายจะสะสางเอาความนั้นจะเป็นใครนางก็ยังคิดไม่ออก

มุมพักผ่อนของบ้านเรือนไทยในเวลาเย็น สองสามีภรรยาผู้เป็นประมุขใหญ่กำลังนั่งชื่นชมดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นพลางพูดคุยถึงเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกกับบุตรสาวคนเดียวอันเป็นที่รักในวันนี้

“คุณสินจะบอกกับลูกวันนี้เลยหรือคะ” คนเป็นภรรยาถามสามีด้วยความกังวลและไม่แน่ใจ

“ใช่สิคุณ เผื่อต้องเกลี้ยกล่อมกันอีกวันสองวัน ผมจะได้ให้คำตอบกับฝ่ายโน้นเขาภายในสามวันที่กำหนดไว้”

น้ำเสียงที่ดูหนักแน่นจริงจังของสามีทำให้คุณนายมณีนุชถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ด้วยไม่รู้จะหาคำใดๆ มาพูดกับบุตรสาวอันเป็นที่รักดี

“น้องหวั่นใจจังเลยค่ะ”

“เฮ้อ... ผมก็ใช่ว่าจะไม่สงสารลูก แต่ผมก็อยากให้อนาคตที่ดีกับลูกนะคุณ หมอวิทยาน่ะเขาดีกว่าไอ้สถาปนิกนั่นเป็นไหนๆ ที่สำคัญคุณอย่าลืมสิ ตระกูลของเราเป็นหมอสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ผมไม่อยากให้มันจบสิ้นกันที่ผมเป็นคนสุดท้ายหรอกนะ” นายแพทย์สินชัยให้เหตุผลกับภรรยาอย่างตรงไปตรงมา เขาเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน แม้จะไม่เคยพบเจอกันมาก่อน แต่เขาจะเป็นคนสร้างบุพเพสันนิวาสให้กับทั้งสองคนเอง

“น้องก็เข้าใจค่ะเรื่องนั้น... แต่... เราจะทำยังไงให้ลูกเข้าใจเราดีล่ะคะ ไหนจะตานนท์ด้วย รายนั้นคงโกรธเรามากแน่ๆ” ความกังวลใจของนายหญิงแห่งบ้านเรือนไทยมีไปถึงชายหนุ่มที่นางเชื่อว่าเป็นคนรักของบุตรสาว

“โกรธก็ช่างหัวมันสิคุณ ผมเชื่อว่าลูกสาวเราไม่ได้รักไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อคนนั้นหรอก” นายแพทย์ใหญ่มีน้ำเสียงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงคนที่อยากจะมาเป็นเขยของเขาจนตัวสั่น เขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นทำให้บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพียงใดเมื่อเพื่อนสนิทคิดจะเลื่อนขั้นเป็นคนรักขึ้นมา

“แต่เขาสองคนก็คบกันมาก่อนนะคะ” คุณนายมณีนุชพยายามเอ่ยปากแย้งสามี

“ก็ในฐานะเพื่อน... คุณเชื่อผมสิ ยัยอรน่ะคิดกับไอ้นนท์อะไรนั่นแค่เพื่อนเท่านั้น ผมดูออกว่าลูกสาวเราคิดยังไง” คนเป็นสามียังคงยืนยันหนักแน่น

“แต่...”

“ไม่ตงไม่แต่แล้วคุณ โน่น... ลูกสาวคุณเดินมาโน่นแล้ว” นายแพทย์สินชัยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูบ้านเมื่อเห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักกำลังเดินเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ คุยอะไรกันอยู่คะ” อรณิชาตรงเข้ามาสวมกอดบิดาและมารดาอันเป็นที่รักด้วยรอยยิ้มเบ่งบานเต็มวงหน้าเหมือนเช่นทุกวัน

“เอ... หรือว่าอรมาขัดจังหวะเวลาสวีตหรือเปล่าคะเนี่ย” คนเป็นลูกหัวเราะคิกคักออกมาขณะล้อเลียนบุพการีอย่างน่ารัก

“ไม่ได้สวีตอะไรกันหรอกลูก แม่กับพ่อกำลังคุยเรื่องของลูกนั่นแหละ” คนเป็นแม่ว่าพลางลูบผมนุ่มสวยของบุตรสาวในอ้อมกอดเบาๆ

“หือ... เรื่องอรหรือคะ” อรณิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกสงสัย ก่อนจะเงยหน้าจากอกอบอุ่นของมารดาและขยับตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อฟังสิ่งที่บุพการีทั้งสองต้องการจะบอก

“ใช่แล้วลูก พ่อมีเรื่องสำคัญจะบอกกับลูกน่ะ” นายแพทย์สินชัยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบบ่งบอกว่าสิ่งที่เขากำลังจะพูดนั้นเป็นเรื่องสำคัญและจริงจังแค่ไหน

“เรื่องอะไรคะ... ทำไมคุณพ่อดูเครียดจัง” คนเป็นลูกนึกหวาดหวั่นยืดตัวนั่งนิ่งและตั้งใจฟัง

“เอ่อ... ลูกจำคุณป้าวรรณเพื่อนของพ่อได้ไหม”

“คุณป้าวรรณ... คุณนายกมลวรรณเจ้าของร้านเพชรหุ้นส่วนโรงพยาบาลของคุณพ่อใช่ไหมคะ” อรณิชาทำท่าครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะนึกขึ้นได้ เพราะเธอเคยพบกับหุ้นส่วนคนสำคัญของบิดาแค่สองสามครั้งเท่านั้น คือวันที่ทำสัญญากับวันประชุมใหญ่ประจำปี ซึ่งเธอจะรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยคอยรับคำสั่งจากคุณพ่ออีกที

“ใช่แล้วลูก” นายแพทย์สินชัยส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับบุตรสาว และยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อได้ฟังประโยคต่อไปของคนเป็นลูก

“ค่ะ... อรจำได้ คุณป้าท่านใจดี แล้วก็ดูใจเย็นด้วย อรชอบฟังเวลาคุณป้าพูดน่ะค่ะ น้ำเสียงของท่านนุ่มนวลมากๆ” อรณิชาพูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบในตัวผู้อาวุโสที่เธอเคยได้สัมผัสมาแล้ว

“ตอนที่พ่อตกลงก่อตั้งโรงพยาบาลด้วยกัน พ่อสัญญากับเขาไว้เรื่องหนึ่งแต่ยังไม่ได้บอกให้ลูกรู้”

“สัญญาอะไรหรือคะ” คนไม่รู้เรื่องถามกลับไปด้วยความรู้สึกมึนงง

“พ่อจะให้ลูกแต่งงานกับลูกชายของคุณวรรณ” คนเป็นพ่อบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางมองสบตาบุตรสาวอันเป็นที่รักนิ่ง เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น

“อะ... อะไรนะคะคุณพ่อ” อรณิชาตกใจอ้าปากค้างจนแทบช็อคกับสิ่งที่บิดาบอกกับเธอ

“ไม่จริงน่ะ... ไม่จริงใช่ไหมคะคุณแม่ คุณพ่อล้ออรเล่นใช่ไหมคะ” หญิงสาวละล่ำละลักถามมารดา เพราะเธอไม่อยากเชื่อว่าคนเป็นพ่อจะทำแบบนี้กับบุตรสาวเพียงคนเดียวอย่างเธอได้

“เอ่อ... จะ... จริงๆ จ้ะลูก” คุณนายมณีนุชตะกุกตะกักตอบอย่างไม่เต็มเสียงนัก ด้วยนึกสงสารและเห็นใจบุตรสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งนางเองก็ไม่อาจขัดแย้งอะไรได้
ทันทีที่ได้ยินคำยืนยันจากมารดา ใบหน้าสวยก็เจิ่งนองไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลลงอาบสองแก้มนวลปานสายน้ำ

“ทำไมคุณพ่อเพิ่งมาบอกอรล่ะคะ” เสียงสะอื้นร้องถามอย่างตัดพ้อที่คนเป็นพ่อคิดจะบังคับฝืนใจเธอ

“ก็ตอนนั้นหมอวิทยาลูกชายของคุณวรรณเขาไปศึกษาอยู่ที่เมืองนอก พ่อก็เลยยังไม่ได้บอกกับลูก จนกระทั้งวันนี้คุณวรรณเขามาบอกกับพ่อว่าลูกชายเขากลับมาแล้ว และพร้อมจะแต่งงานกับลูกในทันทีที่ลูกตกลง” นายแพทย์สินชัยอธิบายให้บุตรสาวฟังด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลพลางขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วลูบศีรษะของบุตรสาวเบาๆ อย่างต้องการจะปลอบโยน

“ไม่มีทางค่ะ ไม่มีทางเด็ดขาด ยังไงอรก็ไม่ยอมแต่งงานกับคนที่อรไม่ได้รัก และไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ” อรณิชาส่ายหัวดิกทันทีที่ฟังจบ เธอไม่มีวันยอมรับข้อตกลงที่ผู้ใหญ่สัญญากันเองแบบนี้เด็ดขาด

“แต่พ่อให้คำมั่นสัญญากับทางนั้นเขาไปแล้ว และวันนี้เขาก็มาทวงสัญญาแล้วด้วย หากพ่อไม่ทำตามก็เท่ากับว่าพ่อเป็นคนไม่รักษาคำพูดนะลูก ที่สำคัญโรงพยาบาลของพ่อก็มีคุณวรรณเป็นหุ้นส่วนเท่าๆ กันกับพ่อด้วย พ่อเกรงว่าหากเขาไม่พอใจและคิดจะถอนหุ้นคืนขึ้นมาโรงพยาบาลของพ่อต้องแย่แน่ๆ” คนเป็นพ่อพยายามหว่านล้อมโดยเอาตัวเองเข้าแลก เพราะส่วนหนึ่งเขาเชื่อว่าคนเป็นลูกย่อมห่วงในศักดิ์ศรีของคนเป็นพ่ออย่างแน่นอน

“คุณพ่อ...” อรณิชาครางเรียกบิดาเสียงสั่นเครือ ด้วยส่วนหนึ่งเธอก็เห็นใจคุณพ่อยิ่งนักหากต้องกลายเป็นคนผิดคำพูด และกิจการโรงพยาบาลที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดีนั้นก็จะมีปัญาหาตามไปด้วย แต่อีกใจเธอก็สงสารตัวเองที่ต้องแต่งงานกับคนที่เธอไม่ได้รัก แล้วเธอจะเลือกทางไหนดี ระหว่างทำเพื่อพ่อกับทำเพื่อตัวเอง

“พ่อขอโทษด้วยนะลูก ที่ไปสัญญาเรื่องแบบนั้นโดยไม่ได้ถามลูกก่อน ตอนนั้นพ่อก็คิดว่าคุณวรรณเขาจะลืมไปแล้ว เพราะต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันไป จนมาวันนี้ที่เขามาทวงสัญญานี่แหละ พ่อถึงได้รู้ว่าทางโน้นเขาไม่ได้ลืม” นายแพทย์สินชัยตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อขอความเห็นใจจากบุตรสาวอันเป็นที่รัก

“คุณแม่ขา... คุณพ่อจะให้อรไปอยู่กับใครก็ไม่รู้จริงๆ หรือคะ” วงแขนบอบบางโอบกอดมารดาก่อนจะส่งเสียงออดอ้อนน้อยใจ

“โถ่... ลูก... คุณสินคะ มีทางอื่นบ้างไหมคะ” คุณนายมณีนุชกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นด้วยความสงสารลูกจับใจ

“สองปีเท่านั้น พ่อขอให้ลูกทำเพื่อพ่อแค่สองปี แล้วหลังจากนั้นพ่อจะตามใจลูกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไปศึกษาต่อและท่องเที่ยวรอบโลก หรือจะไปอยู่กับคนที่ลูกรัก พ่อก็จะไม่ห้ามไม่ขัดขวางใดๆ ทั้งสิ้น”

“คุณสิน...” คนเป็นภรรยาเรียกชื่อสามีอย่างตกตะลึง นางรู้ดีสิ่งนี้เป็นความต้องการของบุตรสาวมาโดยตลอดแต่เพราะความเป็นห่วงที่ไม่อยากให้ลูกไปไกลห่างตัว นางและสามีจึงคัดค้านเรื่องนี้เรื่อยมา นางไม่คิดเลยว่าคนเป็นสามีจะใช้สิ่งนี้มาเป็นข้อต่อรอง ซึ่งแน่นอนว่า คนเป็นลูกต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับความฝันของตัวเองอย่างแน่นอน

“จริงหรือคะคุณพ่อ” อรณิชาขยับตัวออกจากอกของมารดาทันทีที่ได้ยินข้อเสนอของคนเป็นพ่อ

“จริงสิลูก พ่อเป็นคนรักษาคำพูดลูกก็รู้นี่”

“คุณแม่ขา...” บุตรสาวเพียงคนเดียวหันไปสบตามารดาในเชิงขอความคิดเห็น

“ทำเพื่อคุณพ่อสักครั้งนะลูก... แล้วต่อไปพ่อกับแม่จะไม่บังคับอะไรลูกอีกเลย” เมื่อเห็นสามีส่งสายตาเข้มเหมือนบังคับอยู่ในที นางจึงต้องยอมเห็นด้วยไปก่อน แล้วหลังจากนั้นคงต้องสะสางกันยาวแน่ เพราะอย่างไรนางก็ไม่ยอมให้บุตรสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักต้องเดินทางไปไหนไกลๆ อย่างแน่นอน

“อร... ตกลงค่ะคุณพ่อ คุณแม่” หญิงสาวเงียบไปนานก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“พ่อต้องขอบใจลูกนะ ที่ไม่ทำให้พ่อกลายเป็นคนไม่รักษาคำพูด” นายแพทย์สินชัยยิ้มกว้างละล่ำละลักบอกบุตรสาวด้วยความดีใจ

“แต่ข้อกำหนดสองปี คุณพ่อต้องไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับอรนะคะ” อรณิชาทวนคำของบิดาทันทีอย่างหมายมั่น เธอตั้งใจว่าจะทนอยู่กับคนที่เธอไม่รู้จักแค่สองปีเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นเธอก็จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองปรารถนามาตลอดก็คือการศึกษาต่อ แล้วการท่องเที่ยวทั่วโลกเพื่อศึกษางานศิลปะที่เธอชอบของแต่ละประเทศที่เธอสนใจ

“พ่อไม่ลืมแน่นอน” คนเป็นพ่อกำชับให้บุตรสาวมั่นใจอีกครั้งพลางยื่นมือไปแตะที่ไหล่บอบบางเพื่อยืนยันคำสัญญา เพราะเขารู้ดีว่าคนเป็นลูกจะไม่มีวันได้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแน่นอน ‘แต่ถ้าจะไปเรียนต่อหรือเที่ยวรอบโลกพร้อมกับสามีและลูกน่ะไม่แน่... ฮึฮึ’ นายแพทย์สินชัยยิ้มกริ่มอยู่ในใจอย่างมีความสุข

“งั้นอรขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ” เมื่อได้คำตอบเป็นที่พอใจแล้ว หญิงสาวจึงอยากใช้เวลาส่วนตัวเพื่อทบทวนสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ตามลำพัง รวมถึงคิดหาคำพูดที่จะต้องบอกกับนนท์ประวิธแฟนหนุ่มที่เธอเพิ่งตัดสินใจคบกันได้ไม่นานด้วย เธอจะหาวิธีพูดอย่างไรให้เขาเข้าใจและไม่โกรธไม่เกลียดเธอดี เพราะในใจลึกๆ แล้ว เธอก็เห็นเขาเป็นเพื่อนสนิทมาโดยตลอด หากเธอไม่แต่งงานกับผู้ชายที่คนเป็นพ่อเลือกให้ เธอก็ไม่อาจแต่งงานกับเขาได้อยู่ดี

“ไปลูก เดี๋ยวแม่เดินไปส่งที่ห้องนะ” คุณนายมณีนุชขยับตัวลุกขึ้นตามบุตรสาว ด้วยความเป็นห่วงกลัวคนเป็นลูกจะคิดมากและน้อยใจนางจึงอยากไปอยู่ใกล้ๆ เพื่อปลอบโยน

“ขอบคุณค่ะ” อรณิชายิ้มรับพลางจับมือมารดาแล้วหันหลังเดินออกไปพร้อมกันอย่างเงียบๆ

นายแพทย์สินชัยมองสองแม่ลูกอันเป็นที่รักเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่แผนการณ์ประสบความสำเร็จ และต่อจากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพรหมลิขิตที่จะเป็นผู้ขีดเขียนเส้นทางชีวิตคู่ของหนุ่มสาวว่าจะเดินร่วมกันไปได้ยาวไกลแค่ไหน อาจจะแค่สองปีตามที่กำหนด หรือจะนานเท่านานตราบชั่วนิรันดร์ก็ไม่มีใครรู้ได้

หลังได้รับข่าวดีจากเพื่อนรุ่นน้องที่โทรมาเล่าให้ฟังว่าสามารถเกลี้ยกล่อมบุตรชายให้ยอมแต่งงานกับหญิงสาวที่คนเป็นแม่เลือกให้ประสบความสำเร็จแล้ว คุณหญิงเพ็ญพักตร์รู้สึกยินดีกับคุณนายกมลวรรณไม่น้อย และนึกชื่นชมที่บุตรชายของอีกฝ่ายเชื่อฟังมารดาและไม่ดื้อดึงจนไร้เหตุผลเกินไป

เมื่อพูดคุยกับคุณนายกมลวรรณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณหญิงเพ็ญพักตร์จึงออกมาจากห้องนอน เพื่อจะลงไปเดินเล่นข้างล่างกับหลานชายตัวน้อยที่ตอนนี้น่าจะตื่นนอนแล้ว ขณะกำลังก้าวเท้าออกมานั้นนางบังเอิญเห็นสาวใช้ถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินเข้าไปในห้องพักซึ่งมีไว้สำหรับรับแขกพอดี ด้วยความแปลกใจนางจึงตามเข้าไปถาม

“สำอาง ใครจะมาพักเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”

“เอ่อ... คุณธีร์มาพักที่ห้องนี้ได้สองคืนแล้วค่ะ สำอางก็เลยมาทำความสะอาด” สาวใช้ตอบประมุขของบ้านด้วยความนอบน้อม แม้ลึกๆ จะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมนายหนุ่มต้องเข้ามานอนในห้องนี้แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ปริปากถามด้วยรู้ดีว่าไม่อาจยุ่งเรื่องของเจ้านายได้

คุณหญิงเพ็ญพักตร์ขมวดคิ้วมุ่นในคราวแรกที่ได้ฟังคำตอบจากสาวใช้ ทำไมบุตรชายของนางถึงต้องมานอนห้องนี้ ก่อนจะยิ้มกริ่มออกมาเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้พ่อลูกชายตัวดีละเห็ดไปนอนห้องรับแขกได้ สงสัยเมียไม่ให้เข้าห้องอย่างที่นางคิดไว้แน่ๆ ‘ฮึ สมน้ำหน้านัก อยากก่อเรื่องไม่เข้าท่า ทีนี้เมียโกรธจนไม่ให้เข้าห้องล่ะสิ’

“อืม... เธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวฉันจะลงไปข้างล่าง”

“ค่ะ คุณหญิง” สำอางรับคำแล้วหันไปหยิบไม้กวาดขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดต่อ

จากที่คิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นในสวนหลังบ้าน คุณหญิงเพ็ญพักตร์เกิดเปลี่ยนใจหันมานั่งเล่นที่ห้องรับแขกแทนเพื่อรอเยอะเย้ยบุตรชายให้สะใจเล่นก่อนดีกว่า ดังนั้น เมื่อธีรพัฒน์กลับมาจากทำงานเขาจึงเห็นมารดานั่งอยู่ที่โซฟาอย่างสบายอารมณ์เหมือนกับว่ามีความสุขนักหนาจนเขานึกหมั่นไส้เล็กๆ ‘ลูกชายย่ำแย่โดนเมียไม่ให้เข้าห้องมาสองวัน คนเป็นแม่ยังสบายอารมณ์อยู่อีก คิดแล้วมันน่าโมโห”

“อารมณ์ดีมาจากไหนครับคุณแม่” ธีรพัฒน์ทำเสียงประชดประชันใส่มารดาทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องรับแขก

“แม่ก็เป็นแบบนี้ทุกวันอยู่แล้ว แกนั่นแหละ หงุดหงิดมาจากไหน มาถึงก็เหน็บแนมฉันเชียว” คุณหญิงเพ็ญพักตร์กลั้นยิ้มเอ่ยปากยอกย้อนบุตรชายกลับไปบ้าง

“จะไม่ให้หงุดหงิดได้ยังไงล่ะครับ น้องแพรไม่ให้ผมเข้าห้องมาสองวันแล้วนะครับคุณแม่” ธีรพัฒน์บอกมารดาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อนขณะหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีแววสำนึกผิดอยู่ไม่น้อย

“อ้าวเหรอ! นี่แม่ไม่รู้เลยนะเนี่ย” คนเป็นแม่ทำท่าตกใจแต่เสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด

“โถ่... คุณแม่ ผมเป็นลูกคุณแม่นะครับ ยังจะซ้ำเติมกันอีก... ใจคอจะไม่ช่วยผมเลยหรือไงครับเนี่ย”

“จะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ ก็แกทำตัวเองทั้งนั้น สองวันนี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ” รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความสะใจของมารดาทำให้ธีรพัฒน์เกิดความน้อยใจขึ้นมาทันที

“นี่คุณแม่จะใจร้ายกับผมด้วยอีกคนหรือครับ” คำพูดที่ดูตัดพ้อประกอบกับแววตาวิงวอนของบุตรชายทำให้คนเป็นแม่อดใจอ่อนไม่ได้

“อะๆ แกจะให้ฉันช่วยยังไงล่ะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์พูดพลางทำตาประหลักประเหลือกใส่บุตรชายอย่างนึกหมั่นไส้ ‘ตอนก่อเรื่องไม่เห็นจะมาปรึกษา พอมีปัญหาก็มาให้ฉันช่วยแก้ทุกที ไอ้ลูกชายตัวแสบ’

“คุณแม่ทำให้น้องแพรยอมเปิดประตูห้องรับผมก็พอแล้วครับ หลังจากนั้นผมจัดการเอง” ธีรพัฒน์ยิ้มกริ่มบอกมารดาด้วยความดีใจ

“อือ ก็ได้ๆ ต่อไปก็ทำตัวดีๆ ล่ะ คราวหน้าฉันจะไม่ช่วยแกอีกแล้วด้วย” ผู้ช่วยคนสำคัญว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินนำบุตรชายออกจากห้องรับแขกเพื่อไปยังห้องนอนของลูกสะใภ้ทันที

“ครับคุณแม่... ขอบคุณครับ” ธีรพัฒน์รับคำก่อนจะรีบสาวเท้าตามคนเป็นแม่ไปติดๆ

ไม่นานสองแม่ลูกก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนใหญ่ คนเป็นแม่สบตาบุตรชายในเชิงเตรียมความพร้อมก่อนจะยกมือขึ้นเคาะเรียกคนข้างใน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“ใครคะ” แพรวาร้องถามขณะเดินเข้ามาใกล้ประตูเพื่อฟังเสียง

“แม่เองลูก” คุณหญิงเพ็ญพักตร์ขานตอบคนข้างในพลางเหลือบไปมองบุตรชายที่ยืนทำหน้าสลดอยู่ข้างๆ

“ค่ะคุณแม่” หญิงสาวรีบเปิดประตูรับแม่สามีทันทีด้วยไม่อยากให้ท่านรอนาน แต่เมื่อเห็นคนเป็นสามียืนอยู่ตรงนั้นด้วยทำให้เธอคิดได้ทันทีว่าเขาต้องขอร้องให้คนเป็นแม่ขึ้นมาเคาะเรียกเธอแน่ๆ

“แพทริกตื่นหรือยังลูก แม่จะพาไปเดินเล่นในสวน” คุณหญิงเพ็ญพักตร์เอ่ยปากทันทีที่เห็นว่าลูกสะใภ้เริ่มมีสีหน้าไม่พอใจเมื่อเจอบุตรชายของนางยืนอยู่ด้วย

“ตื่นแล้วค่ะคุณแม่ แพรว่าจะพาลงไปพอดี งั้นเดี๋ยวเราลงไปพร้อมกันเลยก็ได้ค่ะ” แพรวาบอกแม่สามีก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่ออุ้มลูกชายตัวน้อยของเธอออกมา โดยพยายามไม่สนใจสายตาของคนเป็นสามีที่มองเธออย่างออดอ้อนแกมวิงวอน

“ให้แม่พาไปเองดีกว่านะลูก” คนเป็นแม่บอกขณะอ้าแขนรับตัวหลานชายมาอุ้มไว้เอง

“เอ่อ... คุณแม่คะ” แพรวาทำท่าจะคัดค้าน เพราะเธอเริ่มเดาสถานการณ์ออกแล้วว่าแม่สามีขึ้นมาเรียกเธอทำไม

“แม่อยากให้หนูปรับความเข้าใจกับตาธีร์... ผัวเมียกันโกรธกันนานๆ ไม่ดีนะลูก มีอะไรก็หันหน้ามาพูดคุยกันซะ” คุณหญิงเพ็ญพักตร์พูดกับลูกสะใภ้เป็นเชิงตักเตือนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นหญิงสาวยังคงนิ่งงันเหมือนกำลังคิดหนัก นางจึงเอ่ยย้ำเพื่อเป็นการขอร้อง

“นะ... หนูแพร”

“ค่ะคุณแม่” แพรวารับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก่อนจะขยับตัวหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้อง เพื่อให้สามีตามเข้ามาข้างใน

ธีรพัฒน์ยกมือไหว้ขอบคุณมารดา แล้วรีบสาวเท้าตามภรรยาเข้าไปในห้องทันทีด้วยความดีใจและโล่งใจที่เธอยอมให้เขาเข้าห้องเพื่อปรับความเข้าใจด้วยสักที

“น้องแพร... น้องแพรครับ” ชายหนุ่มร้องเรียกคนเป็นภรรยา เมื่อเห็นเธอนั่งเงียบอยู่ที่ปลายเตียง โดยไม่สนใจจะหันมามองเขาเลยสักนิด

“คุณมีอะไรก็พูดมาสิคะ แพรรอฟังอยู่” แพรวาพูดออกไปโดยไม่ได้หันมามองคนเป็นสามี

“ไม่เอาซี่... พูดกับพี่ดีๆ นะครับ พี่ขอโทษ พี่สำนึกผิดแล้ว” ธีรพัฒน์เข้าไปโอบกอดภรรยาจากข้างหลังอย่างออดอ้อน โชคดีของเขาที่เธอไม่ดีดดิ้นผลักไสเหมือนอย่างที่คิด

“คุณรักแพรจริงๆ หรือเปล่าคะคุณธีรพัฒน์” คำเรียกขานและคำถามของหญิงสาวที่ดูห่างเหินทำให้ชายหนุ่มยิ่งเสียใจกับการกระทำของตัวเองยิ่งนัก

“รักสิครับ พี่รักน้องแพรมาก รักมาตลอดไม่เคยลดน้อยลงเลย” คนสำนึกผิดส่งเสียงออดอ้อน ใบหน้าหล่อเหลายังคงซุกซบอยู่ที่ไหล่บอบบางของภรรยาสุดที่รัก

“รักแล้วทำไมไม่เชื่อใจแพรบ้างคะ ทั้งๆ ที่เรามีลูกด้วยกันแล้วแต่คุณก็ยังดูถูกความรักที่แพรมีต่อคุณด้วยการไม่เชื่อใจกันอย่างนั้นหรือคะ” เสียงสะอื้นบอกสามีอย่างตัดพ้อ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอเต็มหน่วงทั้งสองข้าง

“โถ่... ก็ตอนนั้นพี่โมโหคิดว่าไอ้หมอนั่น...” ด้วยความคุกรุ่นที่อยู่ในใจทำให้เขาเกือบเรียกคู่กรณีด้วยคำที่ไม่เหมาะสม จนถูกคนเป็นภรรยาตวาดเสียงดังลั่นเพื่อเตือนสติ

“คุณธีร์!”

“อะ เอ่อ คิดว่าหมอวิทกำลังกอดเมียกับลูกของพี่นี่นา” ธีรพัฒน์มีน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อแก้คำพูดให้ดูไพเราะขึ้น

“แล้วคุณก็ทำร้ายเขาโดยที่ไม่ถามไถ่อะไรเลยสักคำ” แพรวาย้อนถามสามีด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยินความคิดของเขา

“แต่เขาก็ทำร้ายพี่เหมือนกันนะครับ” คนผิดทำหน้าเศร้าอย่างน่าสงสาร เพื่อหวังให้หญิงสาวเห็นใจ แต่เปล่าเลย นอกจากเธอจะไม่เห็นใจเขาแล้ว เธอยังแก้ต่างให้อีกฝ่ายด้วย

“พี่วิทเขาป้องกันตัวต่างหากล่ะคะ”

“ก็ได้ๆ พี่ยอมรับผิดทุกอย่างแล้ว น้องแพรหายโกรธพี่นะครับ... นะครับคนดี” ธีรพัฒน์หยอดคำหวานพลางขยับตัวหญิงสาวที่เขากอดจากทางด้านหลังให้หันมาเผชิญหน้ากัน มือแกร่งปาดเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่สวยเบาๆ ทั้งสองมองสบตากันอยู่นาน เหมือนต้องการจะสัมผัสและซึมซับความรู้สึกของกันและกัน ก่อนที่หญิงสาวจะเป็นฝ่ายใจอ่อนเอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“แพรอยากให้พี่ธีร์เชื่อใจแพรค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแพรรักพี่ธีร์มาโดยตลอด และพี่วิทก็คือพี่ชายที่แสนดีสำหรับแพรเสมอซึ่งไม่อาจเปลี่ยนเป็นอื่นไปได้”

“ครับ พี่เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะครับ ต่อไปนี้พี่จะไม่ทำให้น้องแพรเสียใจอีกแล้ว” ธีรพัฒน์พูดขณะดึงตัวภรรยาเข้ามากอดแนบอกแกร่งเพื่อปลอบโยน ชั่วอึดใจก็ผละออกแต่วงแขนยังคงโอบที่เอวเล็กๆ ของเธอไว้แน่น มือหนาข้างหนึ่งจับปลายคางของเธอให้แหงนเงยเพื่อรับจุมพิตจากเขา ชายหนุ่มมอบจุมพิตที่แสนหวานอ่อนโยนให้กับภรรยาที่รักเพื่อเป็นการขอโทษเธอจากหัวใจและเป็นการยืนยันว่าเขาจะไม่ทำให้เธอเสียใจอีก

No comments:

Post a Comment